ดาวโจนส์ปิดลบ 64.36 จุด นลท.จับตาผลประกอบการ-ประชุมเฟด

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันจันทร์ (28 ก.ค.) ส่วนดัชนี S&P500 และดัชนี Nasdaq ขยับขึ้นเล็กน้อยและยังคงปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน ขณะที่นักลงทุนประเมินข่าวการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) รวมทั้งจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งในสัปดาห์นี้

  • ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,837.56 จุด ลดลง 64.36 จุด หรือ -0.14%,
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,389.77 จุด เพิ่มขึ้น 1.13 จุด หรือ +0.02% และ
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 21,178.58 จุด เพิ่มขึ้น 70.27 จุด หรือ +0.33%

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ และอัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ได้บรรลุข้อตกลงการค้าร่วมกันแล้วในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (27 ก.ค.) โดยสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจาก EU ในอัตรา 15% ลดลงครึ่งหนึ่งจากก่อนหน้านี้ที่สหรัฐฯ ขู่เรียกเก็บในอัตรา 30 โดยมาตรการภาษีดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค.

การทำข้อตกลงกับ EU นับเป็นการประกาศข้อตกลงการค้าครั้งล่าสุดระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้าซึ่งรวมถึงญี่ปุ่นและอินโดนีเซีย ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ Certuity มองว่า ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินว่าผลกระทบในระยะยาวจะเป็นอย่างไร

ล่าสุดปธน.ทรัมป์ประกาศในวันจันทร์ว่า เขาจะเรียกเก็บภาษีศุลกากรพื้นฐานในอัตรา 15%-20% จากประเทศที่ยังไม่ได้ทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งสูงกว่าระดับ 10% ที่เขาเคยประกาศไว้ในเดือนเม.ย. โดยขณะนี้ยังคงมีหลายประเทศที่ยังไม่ได้เจรจาข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ก่อนถึงเส้นตายวันที่ 1 ส.ค. ซึ่งเป็นวันที่สหรัฐฯ จะบังคับใช้อัตราภาษีใหม่

นักลงทุนรอดูผลการเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่ฝ่ายเศรษฐกิจระดับสูงของสหรัฐฯ และจีนที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดนในวันจันทร์ โดยการเจรจามีเป้าหมายที่จะขยายเส้นตายการบังคับใช้อัตราภาษีศุลกากรในระดับสูงออกไปจากเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 12 ส.ค.

นักลงทุนรอดูผลประชุมเฟดซึ่งจะมีการแถลงในวันพุธ โดยตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมครั้งนี้ แม้ว่าปธน.ทรัมป์พยายามกดดันเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ปรับลดอัตราดอกเบี้ยก็ตาม

ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อย่างแอปเปิ้ล (Apple), ไมโครซอฟท์ (Microsoft), เมตา (Meta) และอะเมซอนดอทคอม (Amazon.com) ซึ่งอยู่ในกลุ่ม Magnificent Seven

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ด้วย ซึ่งรวมถึงดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ รวมทั้งตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมิ.ย. เพื่อประเมินว่ามาตรการภาษีศุลกากรจะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อและตลาดแรงงานอย่างไร

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้นเพียง 108,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 147,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. และคาดว่าอัตราว่างงานจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.2% ในเดือนก.ค. จากระดับ 4.1% ในเดือนมิ.ย.

หุ้นบวกในดัชนี S&P500 นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 1.15% หลังจากราคาน้ำมัน WTI ดีดตัวขึ้นกว่า 2% ตามด้วยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้น 0.77% ส่วนหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มวัสดุร่วงลงหนักสุด โดยปรับตัวลง 1.75% และ 1.44% ตามลำดับ

หุ้นไนกี้ (Nike) พุ่งขึ้น 3.89% หลังจากนักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนได้ปรับเพิ่มคำแนะนำการลงทุนในหุ้นไนกี้ขึ้นสู่ระดับ “overweight” จากระดับ “neutral”

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ก.ค. 68)