เมียนมาเดินหน้าเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ หวังลดภาษีนำเข้าลงต่ำกว่า 40%

รัฐบาลทหารเมียนมายังคงมีท่าทีเชิงบวกต่อการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ แม้สินค้าส่งออกจากเมียนมาจะเผชิญภาษีนำเข้าใหม่ของรัฐบาลทรัมป์ที่สูงถึง 40% โดยเชื่อว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ในที่สุด

ซอ มิน ตุน โฆษกของคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐและสันติภาพ ซึ่งเป็นองค์กรหลักของฝ่ายปกครองในเมียนมาเปิดเผยในวันนี้ (2 ส.ค.) ว่า การเจรจายังอยู่ระหว่างดำเนินการ และเมียนมาได้เสนอปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ จากอัตราเดิม 88% ลงมาอยู่ในช่วง 0%-15% ขณะที่หวังว่าสหรัฐฯ จะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากเมียนมาเหลือช่วง 0%-7%

ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศยังคงเต็มไปด้วยข้อจำกัด เนื่องจากสหรัฐฯ ได้ออกมาตรการคว่ำบาตรผู้นำกองทัพและคณะรัฐมนตรีส่วนใหญ่ของเมียนมานับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อปี 2564 ที่โค่นล้มรัฐบาลพลเรือนภายใต้การนำของออง ซาน ซูจี

อย่างไรก็ดี เมื่อเดือนก่อน พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาได้ส่งจดหมายถึงโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อแสดงความชื่นชม และเปรียบเทียบเหตุการณ์รัฐประหารในประเทศของตนกับข้อกล่าวหาเรื่องโกงการเลือกตั้งในสหรัฐฯ โดยเสนอขอลดภาษีนำเข้า และแสดงความตั้งใจจะส่งคณะผู้แทนการค้าระดับสูงเดินทางไปยังกรุงวอชิงตัน

ด้านตัวเลขการค้าระหว่างประเทศพบว่า มูลค่าการค้าทวิภาคีระหว่างเมียนมากับสหรัฐฯ ยังค่อนข้างจำกัดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค โดยในปีงบประมาณที่สิ้นสุดเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา มูลค่าการค้าอยู่ที่ 588.3 ล้านดอลลาร์ ลดลงจาก 701.9 ล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า และสหรัฐฯ ยังขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่อง

ในภาพรวม เมียนมายังคงเผชิญกับความไม่สงบภายในประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจที่อ่อนแอและสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อมานานนับตั้งแต่กองทัพยึดอำนาจเมื่อกว่า 4 ปีก่อน ล่าสุดรัฐบาลทหารเพิ่งยกเลิกภาวะฉุกเฉินที่มีผลยาวนานถึง 54 เดือนเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ เพื่อเปิดทางสู่การเลือกตั้งทั่วไปในเดือนธ.ค.ปีนี้ แม้หลายประเทศยังตั้งข้อกังขาถึงความน่าเชื่อถือของการเลือกตั้งดังกล่าวก็ตาม

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ส.ค. 68)