
แผนปฏิรูปกฎหมายแรงงานของรัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย เพื่อรับรองสิทธิของลูกจ้างในการทำงานจากที่บ้านอย่างน้อยสัปดาห์ละสองวัน กำลังจุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มธุรกิจที่กังวลว่ามาตรการนี้อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของรัฐ
แนวคิดของรัฐบาลท้องถิ่นมีขึ้นในช่วงที่หลายองค์กรทั่วโลกเริ่มลดการสนับสนุนการทำงานแบบไฮบริดหลังการระบาดของโรคโควิด-19 โดยปัจจุบันพนักงานของบริษัทในกลุ่ม Fortune 100 กว่าครึ่งที่เคยทำงานจากบ้านถูกเรียกตัวกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา
อย่างไรก็ดี การทำงานแบบไฮบริดยังคงได้รับความนิยมในออสเตรเลีย โดยเฉพาะในช่วงก่อนการเลือกตั้งระดับรัฐซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนพ.ย. พ.ศ. 2569 ขณะที่พรรคฝ่ายค้านในระดับประเทศเคยเสนอแผนให้ข้าราชการกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา แต่สุดท้ายต้องถอนข้อเสนอดังกล่าวก่อนพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งต้นปีนี้
ในเมืองเมลเบิร์น เมื่อต้นปีพ.ศ. 2568 พบว่า สำนักงานว่างคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงราว 20% ของทั้งเมือง โดยสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ จากข้อมูลของสภาอสังหาริมทรัพย์ออสเตรเลีย
จาซินตา แอลเลน มุขมนตรีรัฐวิกตอเรียระบุว่า รัฐบาลจะจัดให้มีการปรึกษาหารือกับภาคธุรกิจและกลุ่มแรงงานตลอดทั้งปีนี้ ก่อนเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่สภา เธอให้เหตุผลว่าการทำงานจากบ้านช่วยลดต้นทุนของลูกจ้าง เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และส่งเสริมความเป็นอยู่ของครอบครัว
ทิม ไพเพอร์ หัวหน้าฝ่ายรัฐวิกตอเรียของกลุ่มล็อบบี้ภาคธุรกิจ Australian Industry Group กล่าวโจมตีแผนดังกล่าวว่าเป็นเพียงการแสดงออกเชิงการเมืองเพื่อสร้างความแตกแยกระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้าน พร้อมระบุว่า แนวคิดนี้เป็นการแทรกแซงภาคเอกชนอย่างเกินขอบเขต และจะยิ่งซ้ำเติมความเปราะบางทางเศรษฐกิจในรัฐ
ขณะเดียวกัน สื่อ Australian Financial Review รายงานว่า ร่างกฎหมายอาจเผชิญการท้าทายทางกฎหมายในศาลสูงของประเทศ เนื่องจากอำนาจในการกำหนดกฎเกณฑ์แรงงานสำหรับภาคเอกชนเป็นของรัฐบาลกลาง ไม่ใช่ระดับรัฐ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ส.ค. 68)