รมช.คลัง ชี้อัตราภาษีสหรัฐหนุนไทยได้เปรียบคู่แข่ง คาดหนุน GDP โตเพิ่ม

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวถึงผลการเจรจาภาษีสหรัฐฯ ของไทยที่ 19% ถือเป็นผลที่น่าพึงพอใจ และเป็นอัตราที่ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน และดีกว่าประเทศเวียดนามเล็กน้อย ดังนั้น ผลกระทบในด้านลบต่อความได้เปรียบเสียเปรียบทางด้านของคู่ค้าในเชิงของอัตราภาษี ทุกคนเสมอกันกลับมาจุดเดิม ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ แต่มีอีกหนึ่งความได้เปรียบที่เกิดขึ้น คือเรื่องของ Transshipment ซึ่ง เป็นกฎใหม่ที่มีขึ้นมา โดยประเทศไหนที่มี Transshipment สูง หรือมีสินค้าที่ผลิตในประเทศน้อย ก็จะโดนภาษีแพง

อย่างไรก็ดี ประเทศไทยมีการผลิตในประเทศสูง ถ้าเทียบกับคู่แข่งอย่างเวียดนาม เวียดนามโดนภาษีตรงนี้สูงกว่าไทยมากเพราะมีการผลิตในประเทศน้อยกว่าเรา ดังนั้น ถ้าพูดถึงความสามารถในการแข่งขันกับประเทศคู่ค้า คิดว่าไทยได้เปรียบขึ้น ซึ่งความได้เปรียบนี้มีนัยสำคัญ

“เราได้เปรียบในเรื่องของ Transshipment ซึ่งเดี๋ยวจะมีการขีดเส้น Regional Value Content ว่าถ้าสมมติเกินกว่าสัดส่วนนี้ จะได้เรทถูก ถ้ามีการผลิตในประเทศน้อยกว่าสัดส่วนนี้ ก็จะต้องเสียเรทแพง ซึ่งเส้นตรงนี้จะเป็นจุดแบ่งที่มีนัยสำคัญ ซึ่งไทยได้เปรียบ นอกจากนี้ ไทยก็มีแนวทางในการพัฒนาประเทศ เพิ่มการผลิตสินค้าภายในประเทศ (Local Content) เพิ่มสายป่านในประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อสร้างความได้เปรียบ” นายเผ่าภูมิ กล่าว

สำหรับความคืบหน้าของมาตรการ Soft loan ในการช่วยเหลือผลกระทบภาษีสหรัฐฯ ตอนนี้เราได้ตัวเลขของภาษีที่จะโดนเก็บแล้ว อยู่ระหว่างประเมินผลกระทบ แล้วจะนำมาสู่การประเมินกรอบมาตรการว่า ควรมีไซส์ขนาดไหน เพราะไม่อยากให้ตัวมาตรการใหญ่หรือเล็กกว่าผลกระทบ ต้องมีขนาดที่เหมาะสม

อย่างไรก็ดี ในระหว่างนี้ที่รอ Soft loan เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ธนาคารที่รับผิดชอบด้านการนำเข้าและการส่งออก ได้ออกมาตรการแล้ว เช่น ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) มีมาตรการที่ดูแลตลาดสหรัฐฯ และตลาดใหม่ ทั้งการพักหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ ปรับลดดอกเบี้ยให้ผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบแล้ว

 

*หลายสำนักทยอยปรับเพิ่ม GDP

ส่วนหลังจากที่อัตราภาษีสหรัฐฯ ของไทยออกมาที่ 19% มีโอกาสที่จะปรับคาดการณ์ GDP หรือไม่ นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า หลายสำนักได้มีการปรับขึ้นแล้ว ทั้งสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้มีการปรับ GDP ขึ้นจาก 2.1% เป็น 2.2% ทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้มีการปรับขึ้นจาก 1.8% เป็น 2.0%

ในส่วนของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) กำลังจะมีการประกาศปรับ GDP ในช่วงกลางเดือนนี้ มองว่าก็มีแนวโน้มสูงที่จะมีการปรับประมาณการณ์ GDP ขึ้น เพราะประเด็นที่กังวลคือเรื่องภาษี ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นคือกลับมาสู่ระนาบเดิม ซึ่งเวลาเราดูการค้าขาย จะดูที่อัตรอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูที่คู่แข่งด้วยว่าคู่แข่งเราโดนข้อจำกัดอะไร ซึ่งสิ่งที่ออกมาเป็นผลในแง่ดี ที่ทำให้ไทยมีความได้เปรียบสูงกว่า

ขณะเดียวกัน สภาพัฒน์ จะมีการประกาศตัวเลขจริงของไตรมาส 2/68 ด้วย ซึ่งจากการที่ดูองค์ประกอบต่าง ๆ แล้วตัวเลขน่าจะออกมาดี เพราะฉะนั้นครึ่งปีแรกของปีนี้ตัวเลขออกมาดีเช่นกัน

ส่วนผลกระทบจากเรื่องการค้าชายแดน มีผลต่อ GDP แต่ยังอยู่ในวงจำกัด เราสามารถบริหารจัดการสถานการณ์ได้รวดเร็ว เพราะฉะนั้นผลกระทบที่เกิดขึ้นเรื่องของเศรษฐกิจยังคงอยู่ในวงจำกัด

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ส.ค. 68)