
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นการให้ข้อมูลครั้งที่ 2 โดยมีคณะทูต 74 ประเทศ องค์การระหว่างประเทศที่มีสำนักงานในประเทศไทย 16 แห่ง และสหภาพยุโรป (อียู) รวม 121 คนที่เข้าร่วมรับฟังการบรรยาย
นายนิกรเดช กล่าวว่า ประชาคมโลกได้เห็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ ย่อมจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าแค่ข้อกล่าวหาแบบลอย ๆ
ขณะที่นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ และผู้บริหารกระทรวงฯ ได้ร่วมกันชี้แจงท่าทีของประเทศไทย พร้อมทั้งลำดับเหตุการณ์ที่กัมพูชาเปิดฉากโจมตีวันแรกเมื่อวันที่ 24 ก.ค.68 เรื่อยมาจนบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในการประชุมสมัยพิเศษที่ประเทศมาเลเซียเมื่อวันที่ 28 ก.ค.68 ซึ่งหลังจากนั้นยังพบการละเมิดข้อตกลงของฝ่ายกัมพูชาหลายครั้ง และยังละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายเกี่ยวกับมนุษยธรรมระหว่างประเทศและอนุสัญญาอีกหลายฉบับ ตลอดจนการบิดเบือนข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
1.ไทยเป็นประเทศที่มีความรับผิดชอบต่อประชาคมระหว่างประเทศ ยึดมั่นในสันติภาพและกฎหมายระหว่างประเทศ หลักการสากลต่าง ๆ และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับกัมพูชาในฐานะเพื่อนบ้านที่ดี แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ความมุ่งหวังดังกล่าวไม่ได้รับการตอบสนองที่ดีจากกัมพูชา โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาได้มีการยั่วยุฝ่ายไทยหลายครั้งและเปิดฉากโจมตี
2.ไทยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่บ่งชี้ว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มต้นโจมตีไทยก่อนโดยไม่เลือกเป้าหมาย ส่งผลให้สถานที่ของพลเรือน เช่น ปั้มน้ำมัน ร้านสะดวกซื้อ โรงเรียน โรงพยาบาลได้รับความเสียหาย ทำให้มีประชาชนและเด็กเสียชีวิต ประชาชนนับแสนคนต้องอพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว ซึ่งผู้ช่วยทูตทหารได้เห็นหลักฐานเมื่อวันที่ 1 ส.ค.68
3.การตอบโต้ของไทยทุกครั้งเป็นการใช้สิทธิ์ป้องกันตัวเองโดยชอบธรรมตามกฎบัตรของสหประชาชาติ เพื่อปกป้องประชาธิปไตย บูรณภาพดินแดน และความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งเป็นการตอบโต้ที่ได้สัดส่วนตามกฎหมายระหว่างประเทศ และมุ่งเป้าไปยังพื้นที่ทางการทหารเท่านั้น
4.การโจมตีพื้นที่พลเรือนและพื้นที่สาธารณะของกัมพูชาถือเป็นการรุกรานที่ชัดเจน เป็นการละเมิดกฎหมายทางมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะการวางทุ่นระเบิดที่เป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาว่า ซึ่งไทยขอประณามการกระทำดังกล่าว
5.ไทยข้อปฏิเสธข้อกล่าวหาของกัมพูชาที่ไม่มีหลักฐานรองรับในทุกเวทีและในทุกประเด็น เช่น กล่าวหาไทยรุกรานทำให้ปราสาทพระวิหารได้รับความเสียหาย กล่าวหาไทยคุกคามแรงงานกัมพูชา
5.ไทยชื่นชมบทบาทของประเทศมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนที่อำนวยความสะดวกให้เกิดการประชุมสมัยพิเศษ รวมถึงสหรัฐฯ และจีนที่สนับสนุนให้เกิดการหยุดยิง แต่เป็นที่น่าผิดหวังที่ทางกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงหลายครั้ง ซึ่งแสดงถึงการขาดความจริงใจอย่างชัดเจน ซึ่งขอเรียกร้องให้กัมพูชาเคารพและปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด
6.ไทยมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ด้วยความจริงใจและสุจริตใจ เพื่อให้บังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด
7.จะมีการประชุม GBC ที่ประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 4-7 ส.ค.68 โดยช่วงวันที่ 4-6 ส.ค.68 จะเป็นการประชุมของผ่ายเลขาฯ ก่อนที่จะมีการประชุม GBC สมัยพิเศษในวันที่ 7 ส.ค.68 โดยเชิญตัวแทนจากมาเลเซีย สหรัฐฯ และจีนเข้าร่วมสังเกตุการณ์ด้วย
8.ส่วนกลไกทวิภาคีในลำดับต่อไปที่จะเป็นการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมในเดือน ก.ย.68 เพื่อหาทางออกเกี่ยวกับเขตแดนที่ยังคั่งค้างอยู่
9.ไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชายุติการบิดเบือนข้อมูลและข่าวสาร ซึ่งการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบเป็นอุปสรรคที่เอื้อต่อการฟื้นฟูความไว้เนื้อเชื่อใจ และทำให้ความขัดแย้งขยายวงไปสู่ประชาชนของทั้งสองประเทศ
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสถานที่ต่าง ๆ ในประเทศนั้นมีข้อกฎหมายระหว่างประเทศระบุให้ผู้กระทำผิดต้องชดใช้ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศกำลังพิจารณาว่ามีอะไรที่ผู้รุกรานต้องรับผิดชอบบ้าง ไม่ใช่แค่ค่าเสียหายเท่านัน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 ส.ค. 68)