
รายงานสรุปความคิดเห็นจากที่ประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่เปิดเผยในวันนี้ (8 ส.ค.) ระบุว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจยุติท่าทีแบบ “รอดูสถานการณ์” (wait-and-see) ได้ภายในสิ้นปีนี้ หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถรับมือกับแรงกดดันจากมาตรการขึ้นภาษีได้ดีกว่าที่ประเมินไว้ ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบต่อการเติบโตของญี่ปุ่น
ถ้อยแถลงของกรรมการรายหนึ่งในการประชุมชี้ว่า BOJ อาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพื่อทยอยปรับนโยบายการเงินกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และต่อสู้กับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
ในการประชุมสองวันที่สิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 ก.ค. BOJ ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อสำหรับปีงบประมาณปัจจุบันซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนเม.ย. เนื่องจากราคาสินค้าอาหารยังคงพุ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม BOJ ยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม เนื่องจากมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ
กรรมการ BOJ รายหนึ่งกล่าวว่า “ต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 2-3 เดือนในการประเมินผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถรับมือได้ดีกว่าที่คาด ผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นอาจมีไม่มากนัก”
“ในกรณีนั้น BOJ อาจสามารถยุติท่าทีแบบรอดูสถานการณ์ได้โดยเร็วที่สุดในช่วงสิ้นปีนี้” กรรมการระบุเสริม
คาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการ BOJ ซึ่งเคยให้คำมั่นว่าจะทยอยถอนมาตรการผ่อนคลายทางการเงินนั้น ยังคงแสดงความระมัดระวังต่อผลกระทบของภาษีของสหรัฐฯ แต่ระบุในการแถลงข่าวหลังการประชุมว่า BOJ จะเดินหน้าไปสู่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
คำกล่าวของเขามีขึ้น หลังจากรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศว่าได้บรรลุข้อตกลงกับรัฐบาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับกำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป เนื่องจากมีความกังวลเพิ่มขึ้นว่า สินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นอาจไม่ได้รับการยกเว้นพิเศษจากภาษีตามที่เคยตกลงไว้
ยูอิจิ โคดามะ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของสถาบันวิจัยเมจิ ยาสุดะ กล่าวว่า ผลสำรวจทังกัน (Tankan) ของ BOJ ในเดือนก.ย. จะมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจ และมีแนวโน้มสูงที่ BOJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 31 ต.ค.
อย่างไรก็ตาม โคดามะคาดว่า BOJ จะไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องหรือรวดเร็วจนถึงปี 2569
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ส.ค. 68)