ไทย-กัมพูชา: “บิ๊กเล็ก” ลั่น! จะกระทุ้งจนกว่ากัมพูชาจะยอมรับ ข้อตกลง “เก็บกู้ระเบิด-ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์”

พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม รักษาการ รมว.กลาโหม ย้ำผลสำเร็จการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย-กัมพูชา โดยระบุว่าผลสำเร็จสำคัญที่ทำให้บรรลุข้อตกลง 13 ประเด็นนั้น เป็นเพราะอาเซียนได้ปล่อยให้ทั้ง 2 ประเทศตกลงกันแบบทวิภาคี โดยไม่เข้ามาแทรกแซง และทำหน้าที่เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์เท่านั้น

“ถือว่าได้รับคำมั่นจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และมาเลเซีย ก็ตอบรับคำขอไทย ที่พยายามจะรักษาการพูดคุยระหว่าง 2 ประเทศ เพื่อให้กลไกทวิภาคีดำเนินการต่อไปได้ และสิ่งที่ไทยประสบผลสำเร็จอีกประการหนึ่ง คือ เป็นอีกครั้ง ที่กัมพูชายอมพูดคุยทวิภาคี หลังจากที่ปฏิเสธมาตลอด” รักษาการ รมว.กลาโหม ระบุ

ส่วนที่จะสามารถเชื่อใจกัมพูชาได้อย่างไรนั้น พล.อ.ณัฐพล ย้ำว่า จะใช้แนวทางเดิม คือ ประเทศไทยจะแสดงถึงความเป็นผู้มีวุฒิภาวะ ดำเนินการตามกฎหมายระหว่างประเทศ และปฏิบัติตามความเห็นร่วมกันของนานาชาติ ซึ่งจะเป็นกรอบประเมินควบคุมการปฏิบัติงานของฝ่ายกัมพูชาว่าจะดำเนินการขัดต่อกฎหมาย หรืออนุสัญญานานาชาติหรือไม่

 

ถกประเด็น เก็บกู้ทุ่นระเบิด-ปราบคอลเซ็นเตอร์ GBC ครั้งหน้า

อย่างไรก็ดี ยังมีใน 2 ประเด็นที่กัมพูชายังไม่รับข้อเสนอ คือ กรณีการร่วมกันเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการร่วมปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการหลอกลวงออนไลน์ ซึ่งไทยจะหยิบยก 2 ประเด็นนี้ เข้าหารือในที่ประชุม GBC ในครั้งต่อไป และจะพูดต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่ากัมพูชาจะยอมรับ ซึ่งไทยได้พูดให้นานาชาติรับทราบแล้ว

พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ในส่วนตัวได้ประเมินกัมพูชาใน 3 ขั้น คือ

– การประชุม GBC ในชั้นเลขานุการ ถือว่ากัมพูชาให้ความร่วมมือกับไทยเป็นอย่างดี แม้จะมีบางข้อที่ไม่ยอมรับ และบางข้อที่เสนอมา ซึ่งไทยก็ไม่ยอมรับเช่นกัน เช่น ไทยเสนอประเด็นการเก็บกู้วัตถุระเบิด รวมถึงการแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์ แต่กัมพูชาก็ปฏิเสธ

– ขั้นที่ 2 จะประเมินการประชุม GBC แบบเต็มคณะ ที่มีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ซึ่งได้ลงนามตกลงกับกัมพูชา โดยจะยึดถือตามเอกสารที่ลงนามกัน

– ขั้นที่ 3 คือ จะประเมินขั้นตอนการปฏิบัติ ซึ่งขั้นตอนนี้จะมีกลไกกำกับ คือ กลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค หรือ RBC และจากนั้นอีก 1 เดือน จะเข้าสู่การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย – กัมพูชา หรือ JBC

“ปัญหาระหว่างไทย – กัมพูชาครั้งนี้ จะใช้ผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้ทหารอาเซียนที่อยู่ในประเทศประเทศไทย คอยสังเกตการณ์ในเรื่องนี้ ดังนั้น จะไม่มีการนำกำลังจากนอกประเทศมายังประเทศไทย ขอให้ประชาชน และสื่อมวลชนสบายใจได้” พล.อ.ณัฐพล ระบุ

พร้อมยืนยันว่า ทั้งกลไก GBC และศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ที่มีทีมกฎหมายดูแลอย่างใกล้ชิดนั้น จะทำในสิ่งที่อยู่ในกรอบกฎหมาย แต่หากเกินอำนาจ จะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)

“การดำเนินการของ ศบ.ทก.จะไม่ได้อยู่นาน แต่สถานการณ์ปัจจุบัน รัฐบาลยังคงเป็นห่วง จึงอยากให้ ศบ.ทก. ช่วยดำเนินการไปก่อน แต่เมื่อถึงเวลา ก็จะเสนอจบภารกิจ เพราะยอมรับว่าเป็นภารกิจที่หนักมาก ที่มีการดำเนินการเกี่ยวข้องกับกฎหมายต่าง ๆ รวมถึงคดีที่จะตามมาด้วย” พล.อ.ณัฐพล ระบุ

ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยในแง่ของกฎหมาย จะแต่งตั้งทีมที่ปรึกษาส่วนตัว โดยมีเลขาธิการสำนักงานกฤษฎีกา เลขาธิการคณะรัฐมนตรี และเลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อช่วยพิจารณาถึงสิ่งที่ ศบ.ทก. ได้ดำเนินการไปแล้วว่าต้องปรับปรุงแก้ไขอย่างไร รวมถึงจะแต่งตั้งที่ปรึกษา ที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านทหาร กฎหมาย แผนที่ ประวัติศาสตร์ อีกประมาณ 8 คน เพราะมองว่าการทำงานในระยะข้างหน้า อาจจะเกินกำลังของ ศบ.ทก. และ GBC ดังนั้นจำเป็นต้องมีผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เชี่ยวชาญ มาช่วยงานในสิ่งที่ควรดำเนินการต่อไป

ส่วนคำสั่งให้ประชาชนที่อยู่ในศูนย์พักพิงกลับเข้าบ้านเรือนนั้น พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า หน่วยงานในในพื้นที่ สามารถประเมินและตัดสินใจให้ประชาชนกลับบ้านได้เอง โดยไม่ต้องรายงานต่อที่ประชุม ศบ.ทก. แต่ขณะนี้ ฝ่ายทหารยังเป็นห่วงเรื่องระเบิดที่ตกค้างในพื้นที่ และกังวลว่าประชาชนจะไม่ปลอดภัย จึงขอให้เจ้าหน้าที่ประเมินสถานการณ์จนกว่าจะมั่นใจ

ขณะที่ผู้ประกอบการในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว จันทบุรี ตราด ที่เดือดร้อน ขอให้อดทนอีกนิด เมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้ว จะผ่อนปรนมาตรการให้ตามลำดับ

“แม้ว่าชุด EOD ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะเข้ามาช่วยเก็บกู้ระเบิดแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีบางพื้นที่ยังไม่ได้ตรวจสอบอีก ดังนั้น ฝ่ายทหารต้องประเมินอีกครั้ง เมื่อทหารและตำรวจมั่นใจแล้ว ก็จะส่งกลับบ้าน” รักษาการ รมว.กลาโหม ระบุ

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ส.ค. 68)