“ศิริกัญญา” เสนอหั่นงบ 5 หมื่นลบ. เพื่อเก็บกระสุนไว้ยามจำเป็น หวั่นปี 69 หนี้สาธารณะชนเพดาน

น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 โดยให้มีการปรับลดงบประมาณเพิ่มอีก 50,000 ล้านบาท เหลือ 3.73 ล้านล้านบาท พร้อมยืนยันว่า ไม่ใช่เรื่องปกติที่อยากจะปรับลดงบประมาณเพิ่มในยามประเทศเผชิญวิกฤติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ และการปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยหวังว่าปัญหาไทย-กัมพูชา จะไม่ยืดเยื้อไปถึงปีงบประมาณ 69

อย่างไรก็ตาม จากวิกฤติเศรษฐกิจจำเป็นต้องปรับลดงบประมาณลง เพื่อเป็นการเก็บกระสุนไว้ใช้ในยามจำเป็น ซึ่งจากวิกฤติสงครามการค้า ทำให้ฐานะการคลังของไทยตกอยู่ในภาวะ 3 เสี่ยง คือ 1.ด้านรายได้ 2.ด้านรายจ่าย และ 3.หนี้สาธารณะ

น.ส.ศิริกัญญา ได้ยกข้อมูลจากการประเมินของสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ที่ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 68 ล่าสุดว่าอาจเติบโตได้เพียงแค่ 1.6% โดยเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเป็นผลจากสงครามการค้า ส่งผลต่อ GDP ทั่วโลก และอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ลดลง คือ ราคาน้ำมันที่ปรับลดลง ซึ่งมีการประมาณการว่าราคาน้ำมันดิบโลกปี 69 จะอยู่ที่ 60-68 ดอลลาร์/บาร์เรล ต่างจากที่เคยประมาณการไว้ที่ 75 ดอลลาร์/บาร์เรล ทำให้การจัดเก็บรายได้จากภาษีปิโตรเลียม ภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าน้ำมัน ลดลงประมาณ 0.7% ซึ่งอาจจะส่งผลให้รัฐพลาดเป้าจัดเก็บรายได้เกือบ 64,000 ล้านบาท

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เรามีปัญหาในเรื่องการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐมาอย่างต่อเนื่อง โดยจัดเก็บภาษีได้เพียง 15% ของ GDP ต่ำกว่าหลายประเทศที่เป็นกลุ่มเดียวกับไทย โดยในปี 67 รายได้ภาษีตกเป้าเกือบ 8 หมื่นล้านบาท แต่ปิดหีบได้ เพราะมีรายได้พิเศษ เช่น บมจ.ปตท. (PTT) ปันผลก่อนเวลาอันควร หรือบีบให้กองทุนวายุภักษ์ปันผลเพิ่มเติม สังเกตได้ว่ารายได้จากรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้น 25.4%

ในส่วนปี 68 มีแนวโน้มเก็บภาษีตกเป้าเช่นกัน เพียง 9 เดือนแรก (ต.ค.67-มิ.ย.68) รายได้ภาษีตกเป้าไปแล้ว 6.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งไม่รู้ว่า ปี 68 จะมีรัฐวิสาหกิจใดมาช่วยอีกหรือไม่ ถ้าไม่มี จะเป็นปัญหาทางการคลังต่อไป

สำหรับความเสี่ยงด้านรายจ่ายนั้น น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า จากวิกฤติเศรษฐกิจจำเป็นต้องมีงบพยุง ฟื้นฟู กระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ไม่การเตรียมการเอาไว้ งบกลางสำหรับกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่ที่ 25,000 ล้านบาท ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ

รองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่า ขณะนี้ความเสี่ยงด้านหนี้สาธารณะ กำลังใกล้จะชนเพดานหนี้แล้ว พื้นที่ทางการคลังมีเหลือไม่มาก ณ ปัจจุบัน มิ.ย.68 หนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ที่ 64% แต่สิ้นปี 68 หนี้สาธารณะ GDP จะไปอยู่ที่ 66% ส่วนสิ้นปี 69 หากกู้ตามที่วางแผนไว้หนี้สาธารณะต่อ GDP จะขึ้นไปถึง 69% จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องมีประหยัดงบประมาณในส่วนนี้ เพราะในอนาคต อาจจำเป็นต้องขยายเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพีให้เกิน 70% และอาจต้องออก พ.ร.ก.เงินกู้ เพื่อพยุงเศรษฐกิจในปี 69

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ยอดปรับลดงบประมาณรายจ่ายปี 69 ที่ปรับลดลง 8,900 ล้านบาท เหมือนกับว่า เราไม่รู้สึกรู้สาเลยว่า มีวิกฤติรออยู่ แตกต่างจากปีอื่น ๆ เช่น ในปีที่เกิดวิกฤติโควิด ยังสามารถปรับลดงบประมาณถึง 3 หมื่นล้านบาท

“ไม่อยากปรับลดประมาณในช่วงที่เราเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ แต่เราจำเป็นต้องเก็บกระสุน ถ้าการจัดงบประมาณในครั้งนี้ ยังไม่ตอบโจทย์ที่จะช่วยให้ประเทศรอดพ้นจากสงครามการค้าได้ ก็จำเป็นต้องปรับงบประมาณในครั้งนี้ เพื่อเก็บพื้นที่ทางการคลังเอาไว้เมื่อเกิดวิกฤติจริง” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 ส.ค. 68)