
เมื่อเวลา 10.08 น. HANN พุ่ง 29.25% เพิ่มขึ้น 0.62 บาท มาที่ 2.74 บาท มูลค่าการซื้อขาย 225.90 ล้านบาท จากราคาเปิด 2.50 บาท ราคาสูงสุด 2.74 บาท และราคาต่ำสุด 2.40 บาท ขณะที่ราคา IPO อยู่ที่ 0.70 บาท และปิดเทรดวันแรกวานนี้ที่ 2.12 บาท +202.86%
บล.ทิสโก้ ระบุว่า จากการประเมินมูลค่าเบื้องต้นของหุ้น บมจ.โรงพยาบาลมุกดาหารอินเตอร์เนชั่นแนล [HANN] ด้วย PER ย้อนหลัง 1 ปี ของคู่แข่งที่20.3x เท่า มองว่ามูลค่าเหมาะสมสำหรับ FY26F ของบริษัท ณ ราคา IPO ยังมี Upside
การแข่งขันในอุตสาหกรรมโรงพยาบาลเอกชนยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในกลุ่มบริการเฉพาะทางที่มีผู้เล่นรายใหญ่ทั้งจากภาคเอกชนและโรงพยาบาลรัฐ อย่างไรก็ตาม กลุ่ม HANN มีจุดแข็งที่แตกต่างจากคู่แข่ง ด้วยการเน้นการให้บริการพื้นฐานที่มีความต้องการต่อเนื่อง เช่น การฟอกไต การผ่าตัดต้อกระจก และการรักษาโรคราคาแพงภายใต้โครงการ UCEP และประกันสังคม ซึ่งเป็นบริการที่มีความชำนาญเฉพาะทางและสามารถสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ
ปัจจุบัน โรงพยาบาลมุกดาหารอินเตอร์เนชั่นแนล มีห้องตรวจผู้ป่วยนอก 7 ห้อง และเตียงผู้ป่วยใน 59 เตียงโรงพยาบาลรวมแพทย์โสธรมีห้องตรวจ 5 ห้อง และเตียง 59 เตียง และโรงพยาบาลนายแพทย์หาญมีห้องตรวจ 3 ห้อง และเตียง 30 เตียง รวมทั้งหมดมีห้องตรวจผู้ป่วยนอก 15 ห้องและเตียงผู้ป่วยใน 148 เตียง โดยมีบุคลากรทางการแพทย์ทั้งหมด 365 คน
รายได้ของบริษัทในช่วงปี 66-68 มีความผันผวนตามการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างรายได้และกลยุทธ์การดำเนินงาน โดยในปี 66 รายได้รวมเพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของกลุ่มลูกค้าเงินสดและบริษัทประกันหลังการเปิดประเทศ แต่ในปี 67 รายได้ลดลงจากการหยุดให้บริการคลินิกในกัมพูชา ส่งผลให้รายได้จากลูกค้าต่างประเทศลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 1/68 รายได้กลับมาเติบโตอีกครั้งจากผู้ป่วยชาวไทยและลาวที่เพิ่มขึ้น รวมถึงรายได้จากโครงการ HPV DNA Test ที่เริ่มให้บริการในกลุ่มภาครัฐ
ในด้านกำไรสุทธิปี 66 อยู่ที่ 27.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 65 จากการควบคุมต้นทุนได้ดี แต่ในปี 67 กำไรลดลงเหลือ 21.18 ล้านบาท จากผลกระทบของรายได้ที่ลดลงและค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามในไตรมาส 1/68 บริษัทสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิสูงถึง 20.20 ล้านบาท ด้วยอัตรากำไรสุทธิที่สูงที่สุดในรอบหลายปี จากการควบคุมต้นทุนและการรับรู้รายได้จากโครงการภาครัฐที่มีอัตราการเติบโตสูง
ระยะสั้น บริษัทมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการขยายบริการด้านสวัสดิการภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี HPV DNA Test ซึ่งเริ่มในไตรมาส 2/67 และแสดงศักยภาพในการสร้างรายได้อย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส 1/68 นอกจากนี้บริการฟอกไตและการผ่าตัดเปิดเส้นฟอกไต (AVF/AVG) ยังมีแนวโน้มเติบโตจากการขยายจำนวนเตียงและหน่วยบริการ ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการในพื้นที่บริการที่ยังมีช่องว่างทางการแพทย์สูง โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนและต่างจังหวัด
ทั้งนี้ รายได้จากกลุ่มลูกค้าเงินสด โดยเฉพาะคนไข้จาก สปป.ลาว และคนไข้ไทย มีแนวโน้มฟื้นตัวจากการเดินทางข้ามแดนที่คล่องตัวขึ้นหลังเปิดประเทศเต็มรูปแบบ อย่างไรก็ตาม บริษัทจำเป็นต้องบริหารความสามารถในการรองรับผู้ป่วยให้เพียงพอ รวมถึงควบคุมต้นทุนทางการแพทย์ท่ามกลางแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและค่าจ้างที่อาจเพิ่มขึ้นในระยะสั้น
ระยะยาว บริษัทฯ มีโอกาสขยายธุรกิจได้อีกจากการขยายฐานผู้รับบริการในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion) โดยเฉพาะการดึงดูดผู้ป่วยจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สปป.ลาว และกัมพูชา ซึ่งมีแนวโน้มพึ่งพาบริการทางการแพทย์ของไทยเพิ่มขึ้นในระยะยาว นอกจากนี้ การพัฒนาบริการเฉพาะทาง เช่น การรักษาโรคไต บริการผ่าตัด และตรวจสุขภาพเคลื่อนที่ รวมถึงการร่วมมือกับหน่วยงานรัฐในโครงการสวัสดิการใหม่ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเติบโตของรายได้และเพิ่มอัตรากำไรต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี การเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวจะต้องพึ่งพาการลงทุนในทรัพยากรบุคคล เทคโนโลยี และระบบบริการที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการเงินและการควบคุมคุณภาพบริการให้สอดคล้องกับมาตรฐานทางการแพทย์ระดับสากล
ด้านความเสี่ยงสำคัญที่ควรติดตาม ได้แก่ ความไม่แน่นอนของนโยบายและงบประมาณจากภาครัฐในโครงการสวัสดิการต่างๆ ซึ่งอาจกระทบต่อรายได้ของบริษัทในบางช่วงเวลา นอกจากนี้ การพึ่งพารายได้จากต่างประเทศ เช่น สปป.ลาว และกัมพูชา ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงหากเกิดเหตุการณ์ทางการเมืองหรือข้อจำกัดด้านการเดินทางระหว่างประเทศ
ขณะเดียวกันการแข่งขันในตลาดโรงพยาบาลเอกชน โดยเฉพาะจากผู้ให้บริการรายใหญ่ในระดับภูมิภาค อาจกดดันอัตราค่าบริการและส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทในอนาคต บริษัทจึงควรให้ความสำคัญกับการสร้างความแตกต่างด้านคุณภาพบริการ การพัฒนาเครือข่ายพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ และการรักษาความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ส.ค. 68)