
นางสาวปฐมา พรประภา กรรมการผู้จัดการ บมจ.ฐิติกร [TK] เปิดเผยว่า ผลประกอบการยครึ่งแรกของปี 2568 มีรายได้รวม 489.2 ล้านบาท ลดลง 29.6% จาก 694.8 ล้านบาท กำไรสุทธิ 90.9 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน 24.6 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปีที่ผ่านมา มีลูกหนี้เช่าซื้อและลูกหนี้เงินให้กู้ยืมสุทธิรวม 1,676.6 ล้านบาท ยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ในช่วงครึ่งปีแรก 917,685 คัน เพิ่มขึ้น 1.5% จาก 904,143 คัน ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ผลประกอบการครึ่งปีแรก เป็นผลมาจากเพดานอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อของ สคบ.ออกประกาศเรื่องให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2565 ทำให้อัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อลดลง และส่งผลกระทบโดยตรงกับรายได้ของผู้ประกอบการธุรกิจทั้งอุตสาหกรรม ประกอบกับ TK มีนโยบายลดความเสี่ยงโดยการชะลอการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในประเทศไทย จนกว่า ธปท. จะประกาศหลักเกณฑ์การกำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อที่ชัดเจน ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ปลายปี 2568 นี้
อย่างไรก็ตาม ผลดำเนินงานครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิพลิกจากขาดทุน แม้ภาพรวมรายได้ 489.2 ล้านบาท ลดลง 29.6% จาก 694.8 ล้านบาท แต่บริษัทมีค่าใช้จ่ายรวม 397 ล้านบาท ลดลง 44.6% จาก 716.4 ล้านบาท ในขณะที่ค่าใช้จ่ายการบริหารรวม 305.1 ล้านบาท ลดลง 23.5% จาก 398.7 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทควบรวมสาขา ทำให้มีค่าใช้จ่ายคงที่บางส่วนลดลง และการบริหารจัดการก็ยังมีการควบคุมต้นทุนในแต่ละหน่วยงาน พร้อมนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
ขณะที่ต้นทุนทางการเงินอยู่ที่ 7.1 ล้านบาท ลดลง 61% จาก 18.2 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีการกู้เงินในต่างประเทศลดลง บริษัทฯ มีสถานะเงินสดและเงินฝากอยู่ที่ 2,883.8 ล้านบาท D/E ไตรมาส 2/68 อยู่ที่ 0.05 เท่า ลดลงจากสิ้นปี 67 ที่ 0.08 เท่า
นายประพล พรประภา กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ TK เปิดเผยว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินงานหรือการเติบโตของบริษัทฯ และธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในอนาคต คือ การเข้ามากำกับดูแลภาครัฐ ทั้งจาก สคบ. และ ธปท. ที่จะเข้ามามีบทบาทในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ ควบคู่กับการบังคับใช้มาตรการด้าน Market Conduct หรือ การดำเนินธุรกิจอย่างเป็นธรรมและ Responsible Lending หรือ การให้สินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ ปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ทั้งภาวะเศรษฐกิจโดยรวม มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ การคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมทั้งความพร้อมและเงินทุนของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะความพร้อมในการขยายงานและเงินทุนที่เพียงพอในการปล่อยสินเชื่อ ทั้งนี้ TK มีความพร้อมและมีเงินทุนรอพร้อมขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้ทันที เมื่อมีโอกาสและสถานการณ์ในการลงทุนเอื้ออำนวย
“เราตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ และได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์เสมอมา ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ บริษัทฯ ได้เพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อควบคุมและลดความเสี่ยงด้านต้นทุนทางเครดิต ควบคู่กับการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ การปรับปรุงกระบวนการภายในให้คล่องตัวมากขึ้น และการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัทฯ ได้ขยายพอร์ตทางการเงินเพิ่มด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้และผลตอบแทนที่สูงขึ้น เช่น สินเชื่อเช่าซื้อเครื่องจักร สินเชื่อที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ และสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ ซึ่งถือเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการรักษาความสัมพันธ์ที่มั่นคงกับคู่ค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อเสริมสร้างเครือข่ายการให้บริการทางการเงินที่เข้มแข็ง เมื่อการกำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์จากภาครัฐมีความชัดเจนในด้านหลักเกณฑ์ที่เอื้อการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ควบคู่กับผลตอบแทนที่สอดคล้องกับความเสี่ยง บริษัทฯ ก็พร้อมการขยายการลงทุนในธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ได้ทันที” นายประพลกล่าว
ด้านการดำเนินธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในต่างประเทศ ปัจจุบัน TK ให้บริการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใน สปป. ลาว และกัมพูชา สำหรับสถานการณ์จากปัญหาข้อพิพาทชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ยังไม่ได้ข้อสรุปในการแก้ไขนั้น ไม่มีผลกระทบกับการดำเนินงานของบริษัทฯ ทั้ง 12 สาขา ยังคงให้บริการตามปกติ ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
อนึ่ง ณ ไตรมาส 2 ปี 2568 TK มีสำรองลูกหนี้จำนวน 120.1 ล้านบาท โดยมีลูกหนี้ค้างชำระเกิน 3 เดือน ที่ 6.3% และมี Coverage Ratio ที่ 105.4% ซึ่งเปรียบเทียบกับ ณ สิ้นปี 2567 ที่มีสำรองลูกหนี้ จำนวน 174.6 ล้านบาท ลูกหนี้ค้างชำระเกิน 3 เดือน ที่ 7.0% และมี Coverage Ratio ที่ 115.1% ณ ไตรมาส 2 ปี 2568 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 5,667.8 ล้านบาท ลดลง 3.6% จาก 5,877.9 ล้านบาท และมีหนี้สินรวม 288.1 ล้านบาท ลดลง 36.0% จาก 449.8 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ สิ้นปี 2567 ทั้งนี้ D/E ณ ไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 0.05 เท่า ซึ่งลดลงจากสิ้นปี 2567 ที่ 0.08 เท่า
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ส.ค. 68)