
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) เผยการผลิตปูนซีเมนต์ของไทยปี 68 มีแนวโน้มอยู่ที่ 40.1 ล้านตัน (-2.8%YOY) ลดลงตามแนวโน้มความต้องการใช้งานทั้งในประเทศและตลาดส่งออก ไทยมีการผลิตปูนซีเมนต์ปีละราว 38-43 ล้านตัน โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี 68 มีการผลิตปูนซีเมนต์ 11.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 6.8%YOY
ส่วนช่วงที่เหลือของปี 68 ประเมินว่า การผลิตปูนซีเมนต์ในประเทศมีแนวโน้มชะลอลง โดยคาดว่าจะมีการผลิตปูนซีเมนต์ในเดือน เม.ย.-ธ.ค.68 อีกประมาณ 28.9 ล้านตัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 6.0%YOY จากการที่ผู้ผลิตปูนซีเมนต์ยังต้องลดปริมาณการผลิตปูนซีเมนต์ลงตามแนวโน้มความต้องการใช้งานที่หดตัว โดยเฉพาะการก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในช่วงที่เหลือของปี 68 ที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ และเพื่อรักษาปริมาณสินค้าคงคลังไว้ให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้คาดว่าปริมาณการผลิตปูนซีเมนต์โดยรวมทั้งปี 68 มีแนวโน้มอยู่ที่ 40.1 ล้านตัน ลดลง 2.8%YOY ซึ่งจะส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงไปอยู่ที่ประมาณ 53.3% โดยเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องจากปี 62 จากการที่ผู้ประกอบการมีการขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องจาก 68.6 ล้านตันในปี 62 มาอยู่ที่ 75.2 ล้านตันในปี 68
ขณะที่ในปี 68 การก่อสร้างภาคเอกชนที่หดตัว จะเป็นแรงกดดันสำคัญให้ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศหดตัว 5.5%YOY มาอยู่ที่ 34.7 ล้านตัน ในไตรมาสแรกของปี 68 ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 9.6%YOY มาอยู่ที่ประมาณ 8.8 ล้านตัน โดยมีแรงหนุนหลักมาจากโครงการก่อสร้างภาครัฐที่มีการเร่งเบิกจ่ายงบลงทุน และเดินหน้าโครงการก่อสร้างพื้นฐาน ทำให้ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์เทกอง (Bulk cement) เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น สำหรับการใช้งานปูนซีเมนต์อีกส่วนหนึ่งจะมาจากโครงการก่อสร้างภาคเอกชน โดยจะเป็นการใช้งานในการก่อสร้างและปรับปรุงพื้นที่เชิงพาณิชย์ อาทิ โรงแรม, ห้างสรรพสินค้า, พื้นที่ค้าปลีก และโครงการ Mixed-use และ Community mall รวมถึงการปรับปรุงที่อยู่อาศัยหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค.68
อย่างไรก็ตาม ความต้องการใช้งานปูนซีเมนต์ในช่วงที่เหลือของปี 68 มีแนวโน้มลดลง โดยเป็นผลมาจากโครงการก่อสร้างภาคเอกชนที่หดตัวลง โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่จากหน่วยเหลือขายสะสมที่ยังอยู่ในระดับสูงในตลาด แม้ว่าโครงการก่อสร้างภาครัฐจะยังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่องจากปี 2024 แต่ก็เป็นการเติบโตในอัตราที่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อการหนุนให้ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศขยายตัวจากปีก่อนได้
ทั้งนี้ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยง ที่จะกระทบให้การจัดทำงบประมาณประจำปี 2026 รวมถึงการเปิดประมูลโครงการก่อสร้างใหม่ ๆ ของภาครัฐล่าช้าออกไป ซึ่งอาจกระทบต่อความต้องการใช้งานปูนซีเมนต์ในโครงการก่อสร้างภาครัฐในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 68 ไปจนถึงปีหน้า ส่งผลให้ SCB EIC คาดการณ์ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์โดยรวมในประเทศในปี 68 จะอยู่ที่ 34.7 ล้านตัน หรือลดลง 5.5%YOY โดยเป็นการลดลงต่อเนื่องจากปี 67
ภาพรวมการส่งออกปูนซีเมนต์ในช่วงที่ผ่านมามีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ในช่วงปี 61 โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากแรงกดดันด้านอุปทาน เนื่องจากประเทศคู่ค้าหลักมีการผลิตปูนซีเมนต์ภายในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ทั้งของโลกและของไทยเข้าไปดำเนินธุรกิจและขยายฐานการผลิตในประเทศดังกล่าวมากขึ้น นอกจากปัจจัยด้านอุปทานแล้ว สำหรับในปี 68 ตลาดส่งออกปูนซีเมนต์ยังมีแนวโน้มหดตัวจากปัจจัยด้านอุปสงค์ด้วย เนื่องจากความต้องการใช้งานปูนซีเมนต์ของประเทศคู่ค้าหลัก ทั้งเวียดนาม, กัมพูชา, ศรีลังกา และบังกลาเทศ ซึ่งเป็นผู้นำเข้าปูนซีเมนต์ที่สำคัญของไทย มีแนวโน้มชะลอตัวจากปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจ และการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์
ทั้งนี้ SCB EIC คาดว่าปริมาณการส่งออกปูนซีเมนต์ของไทยโดยรวมในปี 68 ทั้งปูนเม็ด (Clinker) ปูนซีเมนต์พอร์ตแลนด์ และปูนซีเมนต์ผสมประเภทอื่น ๆ มีแนวโน้มลดลงไปอยู่ที่ 6.0 ล้านตัน (-8.8%YOY) และในระยะข้างหน้าคาดว่าจะยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องมาอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนปี 63 จากโครงสร้างตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศคู่ค้าหลักที่เปลี่ยนแปลงไปดังกล่าว
แนวโน้มราคาปูนซีเมนต์เฉลี่ยทั้งปี 68 คาดว่าจะปรับลดลงมาอยู่ที่ราว 1,809 บาท/ตัน (-2.9%YOY) โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 68 ราคาปูนซีเมนต์ยังคงปรับตัวสูงขึ้นโดยมีแรงหนุนหลักมาจากโครงการก่อสร้างภาครัฐที่มีการเร่งเบิกจ่ายงบลงทุน และการเดินหน้าโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเดือน มี.ค.68
อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาปูนซีเมนต์ในช่วงที่เหลือของปี 68 มีแนวโน้มปรับตัวลดลงตามทิศทางราคาพลังงานโลก ทั้งถ่านหิน และน้ำมัน ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญของการผลิตปูนซีเมนต์ รวมถึงแนวโน้มอุปสงค์การใช้งานที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเฉพาะในภาคก่อสร้างที่อยู่อาศัย รวมถึงการเบิกจ่ายของโครงการก่อสร้างภาครัฐที่คาดว่าจะเริ่มลดลงในช่วงปลายปี
ขณะเดียวกัน การแข่งขันด้านการตลาดระหว่างผู้ประกอบการมีความรุนแรงมากขึ้น โดยมีการใช้กลยุทธ์ขยายฐานลูกค้า ทั้งการมุ่งทำการตลาดในรูปแบบผู้ผลิตถึงกลุ่มลูกค้าธุรกิจ (B2B) เช่น กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงรูปแบบผู้ผลิตถึงผู้บริโภคโดยตรง (B2C) เช่น การเปิดร้านค้าปลีกภายใต้แบรนด์ของตนเอง การขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ รวมถึงบางรายมีการจำหน่ายโดยตรงให้กับโครงการภาครัฐ (B2G) เพื่อขยายฐานลูกค้าให้มีความหลากหลาย ครอบคลุมมากขึ้น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ส.ค. 68)