
Bridgestone ได้รับเลือกเป็นพันธมิตรพัฒนายางรถยนต์แต่เพียงผู้เดียวสำหรับซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ Lamborghini Fenomeno การเปิดตัวครั้งนี้จัดขึ้นเนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 20 ปี ของการเปิดตัวรถคันแรกที่ออกแบบโดยแผนกออกแบบของโรงงาน Sant’Agata Bolognese ซึ่ง Lamborghini Fenomeno สะท้อนถึงเอกลักษณ์การออกแบบและความพิเศษเฉพาะของ Lamborghini โดยเป็นสุดยอดรถยนต์รุ่นลิมิเต็ดเอดิชันซึ่งผลิตเพียง 29 คันทั่วโลก มาพร้อมขุมพลัง 1,080 แรงม้า Lamborghini Fenomeno จึงเป็นซูเปอร์คาร์รุ่นที่เร็วที่สุดของ Lamborghini ทั้งในอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.4 วินาที และอัตราเร่ง 0-200 กม./ชม. ในเวลาเพียง 6.7 วินาที
Bridgestone ได้พัฒนายางรถยนต์ Potenza Sport ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ ขนาด 265/30 ZRF21 (สำหรับล้อหน้า) และขนาด 355/25 ZRF22 (สำหรับล้อหลัง) ซึ่งเป็นยางสมรรถนะสูงพิเศษ (ultra-high performance) ช่วยมอบประสิทธิภาพการขับขี่ด้วยความเร็วสูง การตอบสนองของพวงมาลัยที่แม่นยำ และความมั่นใจในการขับขี่รองรับขุมพลัง 1,080 แรงม้า ของ Lamborghini Fenomeno ยางรถยนต์พรีเมียม Potenza Sport ยังมาพร้อม Run Flat Technology (RFT) ของ Bridgestone ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถไปได้แม้หลังจากที่ยางรั่ว และสามารถขับต่อไปได้อย่างปลอดภัยถึง 80 กม.ที่ความเร็วสูงสุด 80 กม./ชม. แม้มีแรงดันลมยางเป็นศูนย์
“ความร่วมมืออันยาวนานของเรากับ Lamborghini มีพื้นฐานมาจากความมุ่งมั่นร่วมกันในด้านนวัตกรรม ความเป็นเลิศ และสมรรถนะการขับขี่ขั้นสูง” คุณ Radoslaw Bolkowski รองประธานฝ่ายขาย
ทางด้าน Christian Mastro ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของ Lamborghini กล่าวว่า “สำหรับ Lamborghini แล้ว การออกแบบและสมรรถนะเป็นสิ่งที่ต้องไปด้วยกัน และกับบริดจสโตน เราเป็นพันธมิตรที่เข้าใจทั้งสองด้านนี้อย่างแท้จริง ยางรถยนต์คือองค์ประกอบสำคัญต่อสมรรถนะการขับขี่ของซูเปอร์คาร์ นอกเหนือจากข้อมูลด้านเทคนิคแล้ว 70% ของการพัฒนาสมรรถนะในรถเหล่านี้มาจากนวัตกรรมของยางรถยนต์ที่ใช้ แน่นอนว่ายางรถยนต์ Potenza Sport ที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะจาก Bridgestone ช่วยยกระดับการขับขี่ให้ Lamborghini Fenomeno และเสริมสมรรถนะในด้านความเร็วและปลดปล่อยพลังได้อย่างสุดขีด
Bridgestone ได้พัฒนาและผลิตยางรถยนต์พรีเมียมสำหรับ Lamborghini Fenomeno ในอิตาลี ด้วยเทคโนโลยีอย่าง Virtual Tyre Development (VTD) ของ Bridgestone เทคโนโลยี VTD ช่วยเพิ่มทั้งประสิทธิภาพและความยั่งยืนในกระบวนการพัฒนายางรถยนต์ โดยสามารถลดจำนวนยางรถยนต์ต้นแบบลงได้ประมาณ 200 เส้น ลดการทดสอบยานพาหนะจริงลงถึง 80% รวมถึงลดระยะเวลาการพัฒนายางรถยนต์ลงได้ถึง 50% นอกจากนี้ เทคโนโลยีดังกล่าวยังช่วยลดการใช้วัตถุดิบและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในขั้นตอนการพัฒนายางมาตรฐานติดรถยนต์ได้สูงสุดถึง 60%
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ส.ค. 68)