
นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ในวันที่ 28 ส.ค.นี้ ธ.ก.ส. เตรียมเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ ธ.ก.ส. (บอร์ด) รับทราบการโอนเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี และนาปรัง ภายหลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังปี 2568 และโครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและส่งเสริมการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 หรือเงินช่วยเหลือชาวนา ไร่ละ 1,000 บาท วงเงินรวม 46,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี 38,000 ล้านบาท และเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง 8,000 ล้านบาท
โดยยืนยันว่า ธ.ก.ส. พร้อมดำเนินการโอนเงินให้เกษตรกรได้ทันที หากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ส่งข้อมูลเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียน ภายใน 3 วัน โดยเบื้องต้นคาดว่าพร้อมโอนรอบแรก ในวันที่ 1 ก.ย.68 และจะแบ่งโอน 5 รอบ เนื่องจากจำนวนเกษตรกรที่เข้าข่ายมีราว 4 ล้านกว่าครัวเรือน
“ตอนนี้ ธ.ก.ส. กำลังหารือว่าจะใช้ช่องทางใดในการโอนเงิน จะดำเนินการผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ได้หรือไม่ หรือโอนผ่านแพลตฟอร์มของธนาคาร แต่ยืนยันว่า หลังจากได้รับข้อมูลเกษตรกรจากกระทรวงเกษตรฯ แล้ว ธ.ก.ส. ก็พร้อมดำเนินการโอนเงินให้เกษตรกรได้ภายใน 3 วัน” นายฉัตรชัย กล่าว
พร้อมระบุว่า โครงการดังกล่าวไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อสภาพคล่องของธนาคาร เนื่องจากยังอยู่ภายใต้กรอบการบริหารความเสี่ยงไม่เกิน 30% ของพอร์ตสินเชื่อ ขณะเดียวกัน ธ.ก.ส. ยังได้เร่งเดินหน้าปล่อยสินเชื่อเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับหลายกลุ่มอาชีพ อาทิ กลุ่ม อสม.ทั่วประเทศ ปล่อยสินเชื่อแล้วกว่า 40,000 ล้านบาท, กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน เตรียมวงเงินอีก 5,000 ล้านบาท, ครู-บุคลากรด้านการศึกษา และสาธารณสุข จัดสรรเพิ่มอีก 10,000 ล้านบาท โดยธนาคารยังมีช่องว่างสำหรับการปล่อยสินเชื่อในภารกิจเพื่อพัฒนาชนบทได้อีก 20% ของพอร์ตสินเชื่อ หรือประมาณ 2 แสนล้านบาท
ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวอีกว่า ภาพรวมการปล่อยสินเชื่อปี 2568 ล่าสุดของธนาคาร เติบโตอยู่ที่ราว 2% จากเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้ 5% โดยยังถือว่าอยู่ในระดับที่สามารถประคับประคองได้ แม้จะเริ่มมีสัญญาณการปล่อยสินเชื่อที่ชะลอลงจากกลุ่มเกษตรกรสูงวัย ซึ่งปัจจุบันคิดเป็น 1 ใน 3 ของพอร์ตลูกค้าของ ธ.ก.ส. โดยธนาคารอยู่ระหว่างการพิจารณาแผนเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มดังกล่าว ซึ่งไม่สามารถชำระหนี้ได้
ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปัจจุบัน ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 5% กว่า ซึ่ง ธ.ก.ส. สามารถบริหารจัดการได้ รวมถึงที่ผ่านมาก็มีการกันสำรองไว้ในระดับที่มีประสิทธิภาพแล้ว
นายฉัตรชัย ยังกล่าวถึงผลกระทบกับภาคเกษตร จากกรณีภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ ว่า ที่ผ่านมา ธนาคารได้มีการประชุมคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อภาคเกษตร โดยได้เน้นย้ำให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยว เป็นการปลูกพืชแบบผสมผสาน และใช้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุน พร้อมทั้งมีการเตรียมมาตรการเสริมทั้งจากในส่วนของ ธ.ก.ส. และกระทรวงการคลัง เพื่อรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับกลุ่มเปราะบาง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ส.ค. 68)