
นักวิชาการ ภาคประชาชน และเอกชนด้านพลังงาน ประกาศจับมือครั้งสำคัญ ตั้งกลุ่มจับตาแผนพลังงานชาติ “NEP Watch” เกาะติดการจัดทำแผนกำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP) เดินหน้าแก้กฎหมาย ฟ้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อปฏิรูปพลังงานไทยให้สำเร็จ เสนอตั้งกลุ่ม “NEP Watch”
นายอาทิตย์ เวชกิจ นายกสมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (RE100) กล่าวในเวทีเสวนา “ปฏิรูปพลังงานไทย : ธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วม…ก้าวต่อไปอยู่ตรงไหน?” โดยเสนอให้ภาคส่วนต่าง ๆ จัดตั้งกลุ่ม “NEP Watch” เพื่อติดตาม ตรวจสอบ และผลักดันความโปร่งใสของแผนพลังงานชาติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ ภาครัฐอยู่ระหว่างการจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (Power Development Plan: PDP) ฉบับใหม่ และเรียกร้องให้การทำแผน PDP ต้องเปิดเผยข้อมูลทุกขั้นตอน และมีการเผยแพร่รายงานการประชุมต่อสาธารณะทุกครั้ง และรับฟังเสียงประชาชนตั้งแต่ต้น เพื่อให้เป็น “แผนพลังงานของประเทศ” (National Energy Plan: NEP)
“ปัญหาพลังงาน สะท้อนชัดเจนจากความล่าช้า และไม่โปร่งใสในการจัดทำ PDP ที่ยังคงเน้นพลังงานฟอสซิล ขณะที่โรงไฟฟ้าหมุนเวียนจำนวนมากไม่สามารถเชื่อมกับสายส่งได้ ทำให้เกิด “กับดักไฟไม่พอ” โดยเฉพาะในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญอย่าง EEC ทุกวันนี้ประเทศไทยขาดธรรมาภิบาลอย่างมากในด้านพลังงาน จนทำให้ค่าไฟแพง เราสร้างโรงไฟฟ้าจำนวนมากที่ไม่ได้เดินเครื่องผลิต แต่ประชาชนยังต้องจ่ายเงิน ขณะที่เศรษฐกิจกลับชะลอตัว เพราะรัฐอ้างว่าไฟฟ้าไม่เพียงพอในการให้บริการแก่ภาคอุตสาหกรรม เป็นไปได้อย่างไร” นายอาทิตย์ ตั้งคำถาม
- ประชาชนช้ำวิกฤตพลังงาน
ผศ.ประสาท มีแต้ม อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า ตลอด 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญความเปราะบางด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งการนำเข้าพลังงานเพิ่มขึ้นจาก 2.7% ของ GDP เมื่อปี 2536 เป็น 10% ในปี 2566 และความสามารถพึ่งพาตนเองด้านพลังงานลดจาก 75% เหลือเพียง 32% โดยเฉพาะช่วงวิกฤตสงครามรัสเซีย-ยูเครน ตัวเลขลดลงเหลือ 16% ขณะที่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก จาก 41% ในปี 2536 เพิ่มเป็น 92% ในปี 2566 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนไทยแบกค่าไฟแพงมาก
“โครงสร้างการผลิตไฟฟ้าของไทย ยังพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินสูง ขณะที่พลังงานหมุนเวียน มีเพียง 5% ต่ำกว่าเวียดนามที่ผลิตได้ถึง 28% และยิ่งตอกย้ำปัญหาความเหลื่อมล้ำ ค่าไฟแพง และความเสี่ยงจากโลกร้อน ที่จะกระทบต่อรายได้ประชาชนในระยะยาว และไทยจะกระทบหนักกว่าประเทศอื่น” ผศ.ประสาท กล่าว
- เร่งปลดล็อกประชาชนเข้าถึงพลังงาน
น.ส.ชื่นชม สง่าราศี กรีเซน นักวิชาการอิสระด้านไฟฟ้า ระบุว่า โครงสร้างพลังงานของไทย ถูกผูกขาดโดยกลุ่มทุนพลังงานและรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ ตั้งแต่ยุคของทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งถือเป็นการลดทอนอำนาจของฝ่ายราชการ และนำอำนาจรัฐไปแสวงหาผลกำไรทางธุรกิจ การที่รัฐบาลมีสิทธิกำหนดราคาหุ้น ปตท.ได้ ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของ “การทุจริตทางนโยบาย” (Policy Corruption) และเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาธรรมาภิบาลที่ส่งผลสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ปัจจุบัน กลุ่มทุนขนาดใหญ่ในภาคพลังงาน มีอำนาจฝังรากลึกจนกลายเป็น “Deep State” ซึ่งหมายถึงการที่มีกลุ่มอำนาจใดอำนาจหนึ่งดำเนินการอยู่เบื้องหลังรัฐ สามารถแทรกแซงกลไกทางการเมือง และนโยบายสาธารณะ ส่งผลกระทบต่อโอกาสของผู้ประกอบการรายใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจพลังงานหมุนเวียน แม้ว่าต้นทุนการผลิตพลังงานสะอาดจะถูกลง จนผู้ประกอบการรายเล็กสามารถแข่งขันได้ แต่กลับถูกกีดกันหรือบดบังโดยทุนใหญ่ ทำให้ไม่สามารถเติบโตได้ หากไม่เข้าไปพึ่งพากลุ่มทุนผูกขาด
“กลุ่มทุนพลังงาน และข้าราชการ ที่สมยอมผลประโยชน์กับการเมือง การจับมือกันยึดกุมกลไกทั้งสายส่ง ท่อก๊าซ และนโยบาย จนทำให้ประชาชน และผู้ประกอบการรายเล็กไม่มีโอกาสแข่งขัน ทำลายระบบธรรมาภิบาลในประเทศไทย ตอนนี้เราเข้าสู่วิกฤตแล้ว เราต้องปลดแอก ดึงอำนาจออกจากกลุ่มทุนการเมือง ให้เป็นอำนาจของประชาชน ใช้วิกฤตให้เป็นโอกาส สร้างการเปลี่ยนแปลงให้ได้มากที่สุด กกพ.ต้องทำหน้าที่ตอบสนองต่อประชาชน และภาคธุรกิจ ให้สามารถแข่งขันได้ และมีความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย” น.ส.ชื่นชมกล่าว
สำหรับทางออกในอนาคตนั้น หากไม่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ปัญหานี้อาจดำเนินไปใน 2 รูปแบบ คือ 1. รัฐและรัฐวิสาหกิจยังคงผูกขาดพลังงาน และควบคุมไม่ให้พลังงานหมุนเวียนเกิดขึ้นจริง จนนำไปสู่การหยุดชะงักทางเทคโนโลยี และทำให้ประเทศไทยกลายเป็น “พิพิธภัณฑ์ฟอสซิล” ที่ย่ำอยู่กับที่ ไม่สามารถพัฒนาได้ และ 2. การลุกขึ้นมาของภาคประชาชน คล้ายกับกรณีของประเทศปากีสถาน ที่ค่าไฟแพงมาก จนประชาชนจำนวนมาก หันไปติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเอง และมีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์อย่างกว้างขวาง แต่ในอีกด้านหนึ่งก็สร้างความเหลื่อมล้ำ เพราะครัวเรือนที่มีกำลังซื้อเท่านั้นที่จะสามารถติดตั้งได้ ขณะที่ประชาชนรายได้น้อยยังต้องรับภาระต่อไป
น.ส.สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระด้านการเงิน ได้เสนอ 5 แนวทางในการปฏิรูปพลังงาน คือ 1. แผน PDP ต้องเชื่อมโยงกับกฎหมายโลกร้อน และพันธสัญญานานาชาติ 2. เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง 3. ใช้สิทธิทางกฎหมายฟ้องร้อง กกพ. หากละเลยหน้าที่ในการปกป้องสิทธิผู้ใช้ไฟ และส่งเสริมความเป็นธรรมในการแข่งขัน 4. ป้องกันการฟ้องปิดปากของกลุ่มทุน และ 5. ผลักดันให้ กกพ.เป็นองค์กรอิสระอย่างแท้จริง
- ติดหล่ม “ก๊าซ” ค่าไฟแพง ขวางพลังงานสะอาด
นายเดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต กล่าวว่า แม้ทั่วโลกกำลังเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด แต่ประเทศไทยกลับ “ตกหลุมก๊าซ” โดยพึ่งพา LNG สูงขึ้นเรื่อย ๆ จาก 13% ในปี 2562 สู่ 31% ในปี 2566 ส่งผลให้ค่าไฟพุ่ง และกลายเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนใหม่ในภาคอุตสาหกรรม เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ ที่ต้องการไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด พร้อมเสนอว่าการพิจารณาแผน PDP ต้องปรับใหม่ ทั้งในด้านความคิด การบริหารจัดการ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยไม่เพียงเพิ่มพลังงานหมุนเวียน แต่ต้องมีธรรมาภิบาล การมีส่วนร่วมของสังคม
นอกจากนี้ ได้เสนอโมเดล “Mixed Integrated System” ที่ลดการผูกขาดจากโครงสร้างกิจการไฟฟ้าของประเทศไทย มีลักษณะเป็นโครงสร้างที่มีผู้ซื้อรายเดียว (Enhanced Single Buyer: ESB) โดยต้องเร่งแก้กฎหมาย และนำเสนอเป็นรูปธรรมผ่านพรรคการเมืองต่าง ๆ เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมให้มากที่สุด
“สิ่งหนึ่งที่เราไม่สามารถขยับตัวได้ เพราะเราไปสร้างเส้นทางที่กลับตัวก็ไม่ได้ จะเดินต่อไปก็ไปไม่ถึง วางโครงสร้างระบบไฟฟ้าที่มีผู้ซื้อรายเดียว เปลี่ยน กฟผ.จากผู้ผลิตให้กลายเป็นผู้ซื้อ จูงใจให้เอกชนเข้ามาผลิตไฟฟ้า จนเกิดภาวะการลงทุนล้นเกิน โยงมาเป็นปัญหาถึงปัจจุบัน ซึ่งทั่วโลกกำลังก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด แต่ไทยยังตกหลุมก๊าซอยู่เลย และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ค่าไฟแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว” นายเดชรัต กล่าว
- รื้อโครงสร้างกฎหมาย-องค์กรอิสระ
นายภาคภูมิ โลหวริตานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์กฎหมาย ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาล้ยธรรมศาสตร์ ชี้ว่า โครงสร้างหน่วยงานด้านพลังงานของไทยมีความซับซ้อน มีคณะกรรมการหลายชุด ตั้งแต่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ไปจนถึงคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) การทำงานของคณะกรรมการแต่ละชุด อยู่ภายใต้รมว.พลังงาน ซึ่งมีอำนาจในการเสนอแผนพลังงาน แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) แนวทางการประกอบกิจการพลังงาน จนถึงการกำหนดอัตราค่าบริการ
“โดยเฉพาะ กกพ. ที่ควรเป็นองค์กรอิสระ กำกับดูแลการแข่งขัน และปกป้องสิทธิผู้ใช้ไฟ แต่ปัจจุบันยังต้องปฏิบัติภายใต้กรอบของรัฐมนตรี ทำให้ขาดความเป็นอิสระ และไม่สามารถตรวจสอบผลประโยชน์ทับซ้อนได้เต็มที่ จึงมีข้อเสนอให้แก้ไขกฎหมาย เริ่มที่ กกพ.ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลกิจการพลังงาน ต้องมีความเป็นอิสระ และปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ซึ่ง พ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงานฯ มีกำหนดไว้ชัดเจน แต่ยังไม่เห็นการปฏิบัติ จึงสนับสนุนให้มีการฟ้อง กกพ. เพื่อให้ทำหน้าที่ตามกฎหมาย” นายภาคภูมิกล่าว
ทั้งนี้ ผู้ร่วมเสวนาในเวทีปฏิรูปพลังงาน เห็นตรงกันว่า ทางออกสำคัญคือการ “ปลดล็อก” อำนาจจากกลุ่มทุนและรัฐ ให้ประชาชน ภาคธุรกิจ และท้องถิ่นสามารถเข้ามาผลิตไฟฟ้าได้ ทั้งภาคประชาชน และเอกชน เห็นพ้องว่าแผนพลังงานชาติต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เพื่อปลดล็อกศักยภาพประเทศสู่พลังงานสะอาดในราคาที่เป็นธรรม หากรัฐไม่เร่งขับเคลื่อน ปัญหาพลังงานแพง และความเหลื่อมล้ำจะยิ่งขยายวงกว้าง และไทยอาจ “ตกขบวนพลังงานโลก” อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ส.ค. 68)