
นักวิเคราะห์จากหลายสำนักเตือนว่า ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นกับการเมืองไทยอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ และมีโอกาสมากขึ้นที่จะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ โดยขณะนี้พรรคการเมืองใหญ่ของไทยกำลังขับเคี่ยวกันเพื่อจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งอาจอยู่ได้เพียงไม่กี่เดือน
ประเทศไทยเผชิญกับความวุ่นวายทางการเมืองในสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากประพฤติมิชอบเชิงจริยธรรม โดยคำวินิจฉัยดังกล่าวทำให้พรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นสองขั้วอำนาจทางการเมืองแข่งขันกันเพื่อแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยทั้งสองฝ่ายต่างก็พยายามแสวงหาการสนับสนุนจากพรรคประชาชนซึ่งต้องการให้มีการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่
ลาวันยา เวนกาเตสวารัน นักวิเคราะห์จากธนาคารโอเวอร์ซี-ไชนีส แบงกิง คอร์ป (Oversea-Chinese Banking Corp.) ในสิงคโปร์กล่าวว่า หากความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยนำสู่การเลือกตั้งก่อนกำหนด ซึ่งก็อาจทำให้การเลือกตั้งล่าช้าและสร้างแรงกดดันต่อการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอยู่แล้ว
ขณะที่คริสตัล ตัน นักวิเคราะห์จากเอเอ็นแซด กรุ๊ป โฮลดิงส์ (ANZ Group Holdings) กล่าวว่า หากการดำเนินนโยบายมีความล่าช้าและความเชื่อมั่นได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ธนาคารแห่งประเทศไทยก็อาจเร่งการผ่อนคลายนโยบายการเงิน แม้ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากขึ้นนั้นอาจมีผลกระทบในวงจำกัด เมื่อพิจารณาจากแรงกดดันจากภายนอกและข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง
เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบหลายด้านอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งรวมถึงนโยบายการเก็บภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และความขัดแย้งบริเวณชายแดนกับกัมพูชา ขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว 1% นับตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว มาอยู่ที่ระดับ 1.5% ในขณะนี้
ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (Standard Chartered) กล่าวว่า การเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคการเมืองอื่นนั้น จะส่งผลกระทบต่อนโยบายทั้งหมด รวมถึงนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะสะดุดอย่างน้อยในระยะสั้น โดยเขาคาดการณ์ว่า กนง.อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมากถึง 0.50% ในการประชุมวันที่ 8 ต.ค. ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะความไม่แน่นอนทางการเมืองที่กำลังดำเนินอยู่
ด้านนักวิเคราะห์ของโนมูระ โฮลดิงส์ (Nomura Holdings) เตือนว่า อันดับความน่าเชื่อถือของไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดลงโดยมูดี้ส์ เรทติ้งส์ (Moody’s Ratings) ในไตรมาสต่อ ๆ ไป อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ โดยก่อนหน้านี้โนมูระคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดของไทยจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1%
มูดี้ส์ระบุในบทวิเคราะห์ล่าสุดว่า การเมืองที่แบ่งขั้วของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยครั้งและการจัดตั้งรัฐบาลผสมที่มีความเปราะบาง ได้ฉุดรั้งการลงทุนและทำให้การปฏิรูปที่จำเป็นในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างต้องหยุดชะงัก
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ก.ย. 68)