
นายภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ [TPIPP] กล่าวถึงทิศทางการผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังปี 68 Adder ที่หมดอายุอาจส่งผลกระทบบ้าง แต่ด้วยต้นทุนการผลิตที่ดีขึ้นจากการเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงขยะ (RDF) ในการผลิตไฟฟ้า และครึ่งปีหลังกำลังการผลิต (Utilization Rate) จะสูงกว่าครึ่งปีแรก ทำให้ภาพรวมครึ่งปีหลังจะเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรก และมั่นใจว่าทั้งปี 68 เติบโตมากกว่าปี 67
บริษัทตั้งงลงทุน 3 ปี (65-69) ราว 15,476.44 ล้านบาท เพื่อชดเชย Adder ที่หมดอายุลง และเพื่อทดแทนพลังงานถ่านหินในแผนการผลิตไฟฟ้าของบริษัททั้งหมด โดยลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อเสริมการผลิตไฟฟ้าต้นทุนต่ำเข้ามาในระบบ และการลงทุนโรงไฟฟ้าใหม่ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 2 โรงที่ จ.มุกดาหาร และ จ.สงขลา ซึ่งจะเพิ่ม EBITDA ให้กับบริษัท รวมทั้งการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของโรงไฟฟ้า เพื่อลดต้นทุน ซึ่งปัจจุบันเหลืองบลงทุนราว 3 พันล้านบาท
ช่วงที่เหลือของปี 68 เตรียมเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) โรงไฟฟ้าขยะที่สงขลาภายในเดือน พ.ย. 68 ,ติดตั้ง Boiler 8A ทดแทน Boiler ถ่านหินเดิม คาด COD ใน พ.ย. 68 เช่นกัน โซลาร์ฟาร์มเฟส 3 ขนาด 9.6 เมกะวัตต์จะ COD ใน ธ.ค. 68 ซึ่งจากการลงทุนในปีนี้คาดว่าจะมี EBITDA เพิ่มขึ้นราว 2,095 ล้านบาท จากโครงการที่ลงทุนไปทั้งหมด ขณะที่โรงไฟฟ้าขยะที่มุกดาหารอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะผลิตและขายไฟฟ้าได้ในปลายปี 69
นอกจากนี้ บริษัทได้เพิ่ม Utilization ในการผลิตไฟฟ้าสำหรับขายให้กับโรงงานในเครือ (IPS) จาก 70-71% เป็นกว่า 80% และรักษา utilization สำหรับขายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เฉลี่ย 97% นอกจากนี้ บริษัทยังเห็นโอกาสในการเพิ่มกำไรจากการขายไฟฟ้าให้กับโรงงานผลิตปูนเซีเมนต์ที่ซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าอยู่ประมาณ 120 ล้านหน่วย หากบริษัทเพิ่ม Utilization จะทำให้มีโอกาสเพิ่มรายได้และกำไรจากการขายไฟได้
สำหรับประเด็นคดีความ เมื่อวันที่ 19 ส.ค.68 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ได้อ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 1 เป็นโจทย์ฟ้อง นายณรงค์พล แก้วสาร ที่ 1 กับพวก โดยอ้างว่านายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ จำเลยที่ 2 และบมจ. ทีพีไอ โพลีน [TPIPL] จำเลยที่ 3 ร่วมกันใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม บริษัทขอยืนยันว่าคดีดังกล่าวไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ TPIPP แต่อย่างใด โดยบริษัทยังลงทุนและดำเนินงานได้ตามระบบเหมือนเดิม
ด้านผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/68 บริษัทมีรายได้รวม 2,250 ล้านบาท ลดลง 19.24% YoY เนื่องจากรายได่ส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าลดลง กำไรสำหรับงวด 474 ล้านบาท ลดลง 44.71 ล้านบาท ขณะที่ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 68 บริษัทมีกำไรสำหรับงวด 1,441 ล้านบาท ลดลง 7.45 % YoY เนื่องจาก Adder ตัวสุดท้ายหมดอายุในเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา
สำหรับการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ประเมินว่าปี 68 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงทำให้ประเมินผลประกอบการทั้งปีได้ยาก จึงอาจไม่มีการจ่ายปันผลระหว่างกาล แต่จะพิจารณาจ่ายปันผลหลังทราบผลประกอบการทั้งปี นอกจากนี้คาดว่ากำไรสุทธิจะหลับมาอยู่ในระดับเดิมได้ จากการที่บริษัทลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้า ลดต้นทุน และเพิ่มกำลังการผลิตจะทำให้กำไรกลับมารจุดเดิมได้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ก.ย. 68)