ธุรกิจไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนปี 69 แนวโน้มสดใส แต่จับตาข้อจำกัดโครงข่ายภาครัฐ-เจอเกม UGT

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองแนวโน้มธุรกิจไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในไทย ว่า ในปี 69 ปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนมีแนวโน้มเติบโต จากความต้องการไฟฟ้าหมุนเวียนจากภาครัฐ ที่คาดว่าจะขยายตัวราว 2.8% ขณะที่ภาคเอกชนขยายตัวราว 8%

โดยในปี 69 ปริมาณไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ขายให้ภาครัฐ คาดว่าจะอยู่ที่ 24,303 GWh เพิ่มขึ้นจากการส่งเสริมทางด้านนโยบายภาครัฐ โดยจะมีโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบเพิ่มเติม รวมเป็นจำนวน 354.3 MW จากปริมาณขายตามสัญญา ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 7 แห่ง และโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ 1 แห่ง

สำหรับภาคเอกชน ปริมาณการขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน คาดว่าจะอยู่ที่ 4,249 GWh มาตรการเก็บภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดนจากยุโรป (CBAM) ซึ่งจะเริ่มมีการบังคับใช้จริงในปี 69 เป็นแรงขับเคลื่อนหลักที่ทำให้ภาคอุตสาหกรรมต้องปรับตัวมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น นอกจากนี้ การลงทุนที่เพิ่มมากขึ้นจากองค์กรเอกชนในโครงการ RE100 ซึ่งรวมถึงธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) ก็มีส่วนผลักดันให้การใช้พลังงานสะอาดเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

  • ชีวมวลยังเป็นเชื้อเพลิงหลัก พลังงานแสงอาทิตย์เติบโตรวดเร็ว

ในปี 69 ไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวลและพลังงานแสงอาทิตย์ คาดว่าจะคิดรวมกันเป็น 79% ของไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ภาครัฐ และ 96% ของการจำหน่ายให้ภาคเอกชน นอกเหนือจากนี้จะเป็นไฟฟ้าจากพลังงานลม ขยะ และก๊าซชีวภาพ โดยรวมกันคิดเป็น 21% และ 4% ของไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ภาครัฐ และเอกชน ตามลำดับ

ทั้งนี้ ชีวมวลยังคงถูกใช้ในการผลิตไฟฟ้ามากที่สุด เนื่องจากมีความเสถียรและยืดหยุ่นด้านการผลิต มากกว่าเชื้อเพลิงหมุนเวียนประเภทอื่น ๆ รวมถึงยังมีความพร้อมทางด้านวัตถุดิบ เพราะประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตร อย่างไรก็ตาม ในระยะข้างหน้า ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จะมีการใช้งานเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และกลายเป็นแหล่งเชื้อเพลิงหลักในที่สุด ตามเป้าหมายในร่าง AEDP พ.ศ.2567-2580 ที่ตั้งเป้าให้ 68% ของไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในปี 80 มาจากพลังงานแสงอาทิตย์

 

  • รายได้การจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ยังคงเติบโต

ภาพรวมรายได้จากการขายไฟฟ้า ได้รับอิทธิพลหลักมาจากไฟฟ้าชีวมวลและแสงอาทิตย์ เนื่องจากเป็นสัดส่วนหลักของไฟฟ้าที่จำหน่ายในตลาดพลังงานหมุนเวียน ทั้งภาครัฐและเอกชน

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน การเปลี่ยนผ่านจากสัญญาซื้อขายแบบ Adder ไปสู่ FiT สำหรับตลาดภาครัฐ อาจส่งผลกดดันต่อผลประกอบการโรงไฟฟ้าหมุนเวียน แม้ว่าอุปสงค์ไฟฟ้าจะมีทิศทางเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากในระบบ FiT อัตราการรับซื้อไฟ จะสะท้อนต้นทุนพลังงานหมุนเวียนแต่ละประเภท ขณะที่ในระบบ Adder จะเป็นมาตรการสนับสนุนในระยะเริ่มต้นของไทย เพื่อให้เกิดการลงทุนไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โดยมีลักษณะเป็นเงินอุดหนุนส่วนเพิ่ม ซึ่งโดยมากจะให้ราคาซื้อที่สูงกว่า

ทั้งนี้ ผลประกอบการรวมของธุรกิจไฟฟ้าหมุนเวียนในระยะข้างหน้า คาดว่าจะเติบโตตามโครงการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนภาครัฐ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยสามารถแบ่งผู้ประกอบการออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

  1. ผู้ประกอบการไฟฟ้าชีวมวล : รายได้รวมจากการขายไฟฟ้าชีวมวล มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามความต้องการจากทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนที่เติบโตต่อเนื่อง นอกจากนั้น อัตรากำไรขั้นต้นในปี 69 คาดว่าจะขยายตัวช้าลง เพราะต้นทุนเชื้อเพลิงชีวมวลมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จากปริมาณเชื้อเพลิงชีวมวลที่มีทิศทางลดลงตาม GDP พืชเกษตรที่คาดว่าจะโตเพียง 1.2% ชะลอลงจาก 2.9% ในปีก่อนหน้า
  2. ผู้ประกอบการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ : ธุรกิจไฟฟ้าแสงอาทิตย์ สามารถแยกออกได้เป็นโครงการที่ทำสัญญาซื้อขายกับภาครัฐ และโครงการที่ทำสัญญาซื้อขายกับภาคเอกชน ดังนี้
  • โครงการที่ทำสัญญาซื้อขายกับภาครัฐ : รายได้รวมจากขายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้ภาครัฐในปี 69 มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ตามปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากภาครัฐ ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 7% โดยรายได้จากของแต่ละโครงการค่อนข้างจะมั่นคง เนื่องจากเป็นการขายไฟฟ้าเต็มปริมาณที่ผลิตได้ ภายในระยะเวลาสัญญาของแต่ละโครงการ

สำหรับปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับรายได้ต่อการขายไฟต่อหน่วย ได้แก่ ราคารับซื้อตามสัญญาของภาครัฐ ซึ่งมีการปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันอยู่ที่ 2.1679 บาท/หน่วย ส่งผลให้รายได้ต่อหน่วยจากการขายไฟลดลง อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ราวกว่า 30% สำหรับโครงการที่จะเริ่มดำเนินการซื้อขายในปี 69

  • โครงการที่ทำสัญญาซื้อขายกับภาคเอกชน : รายได้รวมจากการขายไฟฟ้าให้ภาคเอกชน มีแนวโน้มเติบโต ตามความต้องการซื้อที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากถึง 21% ในปี 69 เนื่องจากผู้ประกอบการและภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง หันมาเลือกใช้บริการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบ Private PPA มากขึ้น ในขณะเดียวกัน ต้นทุนของผู้ให้บริการก็มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง สะท้อนจากต้นทุนรวมในการติดตั้ง และ LCOE เฉลี่ยทั่วโลก ซึ่งคาดว่าจะลดลง 8% และ 11% ตามลำดับ จากปีก่อนหน้า

3. ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าประเภทอื่น ๆ : สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ ลม และก๊าซชีวภาพ รายได้จะมาจากการขายให้ภาครัฐเป็นหลัก ดังนั้น แนวโน้มรายได้จึงขึ้นอยู่กับนโยบายพลังงานและการสนับสนุนจากภาครัฐ

ในปี 69 รายได้รวมของผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าขยะ มีแนวโน้มเติบโต ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานลมและก๊าซชีวภาพ ยังไม่มีกำหนดรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มเติมจากภาครัฐ โดยโรงไฟฟ้าขยะ มีแผนที่จะเริ่มจ่ายไฟเข้าระบบรวม 19 MW และมีราคารับซื้อสูงกว่าไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โดยรัฐบาลจะรับซื้อที่ 5.08 บาท/หน่วยพร้อม FiT Premium 0.70 บาท/หน่วย ใน 8 ปีแรก สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก ที่มีกำลังการผลิตไม่เกิน 10 MW และ 3.66 บาท/หน่วย สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กที่มีกำลังการผลิต 10-50 MW

 

*4 ความเสี่ยงระยะกลาง-ยาว ของธุรกิจไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
  1. การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ยังเผชิญข้อจำกัดด้านทรัพยากรที่กระทบต่อความเสถียรในการผลิต เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ที่ไม่ต่อเนื่อง และผันผวนตามเวลาและสภาพอากาศ รวมถึงเชื้อเพลิงขยะและชีวมวล ที่มีปัญหาความชื้นและคุณภาพไม่สม่ำเสมอ ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพการผลิตลดลง และเกิดความไม่แน่นอนต่อระบบไฟฟ้าโดยรวม
  2. ปัจจุบันผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ยังไม่สามารถขายไฟฟ้าตรงให้ผู้ใช้งานผ่านโครงข่ายภาครัฐ โดยรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นเจ้าของโครงข่ายไฟฟ้า ยังไม่อนุญาตให้เอกชนเช่าใช้ เนื่องจากความกังวลด้านความมั่นคง และเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า ทำให้ปัจจุบันยังไม่มีการเปิดให้มี Third Party Access (TPA) หรือการอนุญาตให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน หรือผู้ให้บริการพลังงานรายอื่นเข้าถึง และใช้โครงข่ายสายส่งไฟฟ้าของรัฐอย่างเสรี
  3. การแข่งขันกับโครงการไฟฟ้าสีเขียวจากภาครัฐ (UGT) ในตลาดการขายไฟฟ้าให้ภาคเอกชน แม้ว่าการเปิดให้บริการ UGT ในช่วงแรก จะเป็นการขายไฟฟ้าพลังงานน้ำที่มีอยู่เดิมในระบบของการไฟฟ้าฯ เป็นหลัก ทำให้ไม่ส่งผลกระทบมากนัก แต่ในระยะถัดไป จะเริ่มมีการเปิดขายไฟฟ้าชนิดอื่นเพิ่มเติม ทำให้ผลกระทบมีเพิ่มมากขึ้น โดยบริการจากภาครัฐ จะมีข้อได้เปรียบในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ครอบคลุม และความสามารถในการจ่ายไฟฟ้าในปริมาณมากได้อย่างมั่นคง ทำให้ผู้ใช้ไฟภาคเอกชน โดยเฉพาะรายใหญ่ อาจเปลี่ยนมาเลือกใช้บริการ UGT แทนการทำสัญญาซื้อขายแบบ Private PPA ในระยะยาว
  4. การเปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน (Waste to Energy : WtE) ในปัจจุบันยังไม่ได้รับการบรรจุใน EU Taxonomy (EU, 2024) ในฐานะพลังงานสีเขียว ซึ่งหมายความว่า WtE จะไม่เข้าข่ายมาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป ส่งผลให้ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งสินค้าไปยังยุโรป อาจไม่เลือกใช้ไฟฟ้าจากขยะในฐานะพลังงานสีเขียว เนื่องจากไม่เป็นไปตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่ EU กำหนด

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ก.ย. 68)