ลุ้นต่อ!? ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ชี้ ภาษีทรัมป์ผิดกฎหมาย แต่ศึกนี้ยังไม่จบ

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (29 ส.ค.) ศาลอุทธรณ์กลางของสหรัฐฯ มีคำวินิจฉัยให้เพิกถอนมาตรการภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้ โดยคณะผู้พิพากษามีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 4 เสียง ตัดสินว่า ผู้นำสหรัฐฯ ใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ปีค.ศ. 1977 อย่างไรก็ตาม ปธน.ทรัมป์ยังไม่ยอมถอยง่าย ๆ เพราะการต่อสู้ทางกฎหมายยังไม่สิ้นสุด และมีกฎหมายอื่น ๆ ที่อาจเปิดช่องให้เขานำมาตรการภาษีกลับมาใช้ได้อีก

 

*ทำไมศาลจึงเข้ามาเกี่ยวข้อง?

เมื่อช่วงต้นปี บริษัท 5 แห่ง และรัฐ 12 รัฐ ได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศ (ITC) ในนิวยอร์ก อ้างว่าได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของทรัมป์

ต่อมาในวันที่ 28 พ.ค. ศาล ITC ได้มีคำสั่งเพิกถอนมาตรการภาษีส่วนใหญ่ของทรัมป์ ก่อนที่ในวันถัดมา (29 พ.ค.) ศาลอุทธรณ์กลางได้สั่งระงับคำตัดสินดังกล่าวเป็นการชั่วคราวเพื่อพิจารณาเนื้อหาคดีอย่างละเอียด และในที่สุดเมื่อวันที่ 29 ส.ค. ศาลอุทธรณ์ได้ยืนยันคำตัดสินเดิม ทำให้มาตรการภาษีเหล่านั้นเป็นโมฆะ

 

*มาตรการภาษีใดบ้างที่ได้รับผลกระทบ?

  • ภาษี 25% ที่เรียกเก็บจากเม็กซิโก แคนาดา และจีนในช่วงต้นปี
  • ภาษีตอบโต้ที่ประกาศเมื่อวันที่ 2 เม.ย. และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 7 ส.ค. (แม้อัตราภาษีปรับเปลี่ยนไปในระหว่างนั้น)

ส่วนภาษีที่เรียกเก็บเป็นรายอุตสาหกรรม เช่น ภาษีรถยนต์ เหล็ก อะลูมิเนียม และทองแดง ซึ่งอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 232 แห่งกฎหมาย Trade Expansion Act ค.ศ. 1962 ไม่ได้รับผลกระทบจากคำตัดสินของศาลในครั้งนี้

 

*เหตุใดความชอบด้วยกฎหมายจึงถูกท้าทาย?

กฎหมาย IEEPA ให้อำนาจประธานาธิบดีดำเนินมาตรการเพื่อต่อสู้กับ “ภัยคุกคามที่ไม่ปกติและร้ายแรง” ซึ่งในการบังคับใช้มาตรการภาษีกับเม็กซิโก แคนาดา และจีนนั้น มีการอ้างถึงภัยคุกคามจากยาเสพติดเฟนทานิล ขณะที่การใช้ภาษีตอบโต้ อ้างถึงปัญหาขาดดุลทางการค้า

อย่างไรก็ตาม ในเดือนพ.ค. คณะผู้พิพากษาของศาล ITC ได้ตัดสินว่า การขาดดุลทางการค้าที่เกิดขึ้นมายาวนานเกือบ 50 ปี ไม่ถือเป็น “ภัยคุกคามที่ไม่ปกติและร้ายแรง”

นอกจากนี้ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ยังชี้ว่า กฎหมาย IEEPA ไม่ได้ให้อำนาจประธานาธิบดีในการเรียกเก็บภาษีศุลกากร และโดยหลักการแล้วการเรียกเก็บภาษีถือเป็นอำนาจของสภาคองเกรส ซึ่งคณะผู้พิพากษาได้ย้ำว่า “เมื่อสภาคองเกรสตั้งใจมอบอำนาจให้ประธานาธิบดีเก็บภาษี ต้องระบุไว้อย่างชัดเจน”

 

*การต่อสู้ทางกฎหมายสิ้นสุดแล้วหรือยัง?

ยังไม่สิ้นสุด แม้ศาลอุทธรณ์ยืนยันคำตัดสินของศาลชั้นต้น แต่ก็อนุญาตให้มาตรการภาษียังคงมีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 14 ต.ค. เพื่อเปิดโอกาสให้คู่กรณีสู่คดีต่อในศาลสูงสุด

การดำเนินการในลักษณะนี้เป็นกลยุทธ์ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ใช้บ่อยในช่วงวาระการดำรงตำแหน่งสมัยที่สองของเขา นั่นคือ ออกคำสั่งที่รู้อยู่แล้วว่าจะถูกฟ้อง จากนั้นจึงสู้คดีไปจนถึงศาลสูงสุด ด้วยความหวังว่าศาล ซึ่งเสียงข้างมากเป็นฝ่ายอนุรักษนิยม จะตัดสินเข้าข้างเขา และช่วยขยายอำนาจของประธานาธิบดีในที่สุด

 

*ทรัมป์มีทางเลือกอะไรบ้าง?

หากศาลสูงสุดยืนยันคำตัดสินของศาลอุทธรณ์และเพิกถอนมาตรการภาษีเหล่านั้น รัฐบาลทรัมป์ยังมีช่องทางด้านกฎหมายอื่น ๆ ในการบังคับใช้มาตรการภาษี ได้แก่

  • มาตรา 232 ของกฎหมาย Trade Expansion Act ค.ศ. 1962: กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการสอบสวน หากพบว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ ประธานาธิบดีสามารถเก็บภาษีได้ กรณีนี้ใช้กับภาษีรถยนต์ เหล็ก อะลูมิเนียม และทองแดง
  • มาตรา 122 ของกฎหมาย Trade Act ค.ศ. 1974: ประธานาธิบดีสามารถเก็บภาษีสินค้านำเข้าได้สูงสุด 15% จากประเทศที่มี “ปัญหาดุลการชำระเงินร้ายแรง” อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้มีระยะเวลาจำกัดเพียง 150 วัน เว้นแต่สภาคองเกรสจะขยายเวลา
  • มาตรา 301 ของกฎหมาย Trade Act ค.ศ. 1974: ผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ สามารถตัดสินใจเรียกเก็บภาษีได้ เพื่อตอบโต้ “แนวปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม”
  • มาตรา 338 ของกฎหมาย Trade Act ค.ศ. 1930: มาตรานี้อนุญาตให้ประธานาธิบดีเก็บภาษีได้สูงสุด 50% จากประเทศที่มีการเลือกปฏิบัติกับสินค้าอเมริกัน

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ก.ย. 68)