
มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่บังคับใช้กับสินค้านำเข้าจากอินเดียเมื่อเดือนก่อน ส่งผลกระทบหนักต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องประดับ และอาหารทะเล โดยเฉพาะกุ้ง ซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่มีอัตรากำไรเพียง 3-5% โดยผู้ประกอบการในเมืองติรุปปูร์, โนอิดา และสุรัตต้องหยุดสายการผลิต ทำให้เกิดการเลิกจ้างแรงงานจำนวนมากในรัฐทมิฬนาดูและคุชราตซึ่งเป็นบ้านเกิดของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี
เอส.ซี. รัลฮาน ประธานสมาพันธ์ผู้ส่งออกสินค้าอินเดีย (FIEO) เปิดเผยว่า ราว 55% ของการส่งออกสินค้าอินเดียไปยังสหรัฐฯ มูลค่า 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์ กำลังเสียเปรียบด้านต้นทุนเมื่อเทียบกับคู่แข่งจากเวียดนาม จีน และบังกลาเทศ ส่งผลให้แรงงานหลายพันคนถูกเลิกจ้าง
สหรัฐฯ ได้เพิ่มภาษีนำเข้าสูงสุดถึง 50% โดยรวมถึงการเก็บภาษีเพิ่มอีก 25% จากการที่อินเดียซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ครอบคลุมสินค้าหลากหลายประเภท ตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า ไปจนถึงสารเคมี โดยมาตรการดังกล่าวถือว่าเป็นหนึ่งในภาษีที่สูงที่สุดภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และได้สร้างแรงกดดันต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
ท่ามกลางสถานการณ์นี้ นีร์มาลา สิทธารามัน รัฐมนตรีคลังแถลงเมื่อวันศุกร์ (5 ก.ย.) ว่า รัฐบาลเตรียมออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบ แม้ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด แต่แหล่งข่าวรัฐบาลระบุว่า หนึ่งในแนวทางคือการให้ค้ำประกันสินเชื่อสำหรับเงินกู้ที่ค้างชำระไม่เกิน 90 วัน เพื่อช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็กและผู้ส่งออกให้มีสภาพคล่องมากขึ้น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ก.ย. 68)