ค่ายอพยพมาวาซีแออัดจนอยู่ไม่ได้ บีบชาวปาเลสไตน์กลับไปเสี่ยงตายที่กาซาซิตี

ชาวปาเลสไตน์พลัดถิ่นเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า สภาพความเป็นอยู่ในค่ายพักพิงชั่วคราวริมชายฝั่งกาซามีความแออัดเข้าขั้นเลวร้าย จนทำให้ประชาชนบางส่วนที่เพิ่งหนีตายจากปฏิบัติการโจมตีรอบใหม่ของอิสราเอลในกาซาซิตี ซึ่งกำลังเผชิญภาวะอดอยากรุนแรง ตัดสินใจเดินทางกลับเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงภัยอีกครั้ง

หน่วยงานให้ความช่วยเหลือระบุว่า ผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่มุ่งหน้าหาที่พักพิงในพื้นที่ชายทะเลทางตะวันตกของกาซาซิตี หรือที่มาวาซี (Mawasi) ซึ่งเป็นค่ายพักพิงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตามแนวชายหาดและพื้นที่เกษตรกรรมทางตอนใต้ โดยอิสราเอลได้กำหนดให้เป็นเขตมนุษยธรรม

ทว่า จากการเปิดเผยของชาวปาเลสไตน์กว่าสิบรายที่เดินทางมาพร้อมครอบครัว รวมถึงข้อมูลจากยูนิเซฟ (UNICEF) และรัฐบาลกาซาที่บริหารโดยกลุ่มฮามาส พวกเขาจำนวนมากกลับพบว่าแทบไม่มีที่ว่างสำหรับพักพิง เต็นท์มีไม่เพียงพอ น้ำประปาขาดแคลน และการเข้าถึงบริการสาธารณสุขเป็นไปอย่างจำกัด

อิสราเอลเริ่มยกระดับการโจมตีในกาซาซิตีตั้งแต่ปลายเดือนส.ค. โดยอ้างว่าเพื่อช่วยตัวประกันที่เหลือรอดจากการโจมตีของกลุ่มฮามาสเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566 ซึ่งเป็นชนวนของสงครามครั้งล่าสุดที่นองเลือดที่สุด พร้อมกันนี้ได้เรียกร้องให้พลเรือนทั้งหมดอพยพไปยังพื้นที่มาวาซี ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นเขตมนุษยธรรม

แม้ว่าอิสราเอลจะเรียกร้องให้ประชาชนอพยพ แต่รัฐบาลกาซาที่บริหารโดยกลุ่มฮามาสประเมินว่า ประชากรราว 1.3 ล้านคนจากทั้งหมดประมาณ 2 ล้านคน ยังคงอาศัยอยู่ในกาซาซิตีและพื้นที่ตอนเหนือ

ภาพถ่ายดาวเทียมที่รอยเตอร์ตรวจสอบยืนยันว่า พื้นที่ส่วนใหญ่ในมาวาซีหนาแน่นไปด้วยเต็นท์อยู่แล้วก่อนผู้ลี้ภัยระลอกใหม่จะมาถึง โดยจำนวนเต็นท์ได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงวันที่ 20 ส.ค. – 10 ก.ย. ขณะที่พื้นที่เกษตรกรรมซึ่งจำเป็นต่อการผลิตอาหารแทบไม่เหลืออยู่แล้ว ซึ่งหน่วยงานช่วยเหลือชี้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะทุพโภชนาการเป็นวงกว้าง

ทีมงานด้านมนุษยธรรมของ UN ประจำกาซา ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของหน่วยงาน UN ในพื้นที่ ได้ปฏิเสธคำกล่าวอ้างของอิสราเอลที่ว่ามาวาซีเป็นเขตมนุษยธรรม

“อิสราเอลไม่ได้ดำเนินมาตรการที่เป็นรูปธรรมเพื่อรับประกันความปลอดภัยของผู้ที่ถูกบังคับให้อพยพไปที่นั่น ทั้งขนาดและขอบเขตของบริการที่มีอยู่ก็ไม่เพียงพอที่จะรองรับประชากรเดิมได้ ไม่ต้องพูดถึงผู้ที่อพยพมาใหม่” ทีมงานระบุในแถลงการณ์เมื่อวันพุธ (10 ก.ย.)

ด้านนาวาโท นาดาฟ โชชานี โฆษกกองทัพอิสราเอลกล่าวกับรอยเตอร์ว่า ในเขตดังกล่าวยังมีพื้นที่สำหรับพักพิง รวมถึงมีเต็นท์ อาหาร น้ำสะอาด และเวชภัณฑ์พร้อมรองรับ

เมื่อรอยเตอร์สอบถามถึงแผนการรองรับประชากรนับล้านคนในพื้นที่ที่แออัดอยู่แล้ว โชชานีตอบว่า “เรากำลังดำเนินการในเรื่องนี้ เราจะเพิ่มเต็นท์ อาหาร น้ำ และศูนย์การแพทย์ในพื้นที่ เพื่อให้แน่ใจว่าประชาชนสามารถเข้ามาได้”

เมื่อวันพุธ กองทัพอิสราเอลได้ออกแถลงการณ์พร้อมเผยแพร่ภาพถ่ายและแผนที่ซึ่งอ้างว่าเป็นพื้นที่ว่างในมาวาซีที่ประชาชนสามารถกางเต็นท์ได้

แต่แผนที่ดังกล่าวกลับแสดงพื้นที่คนละส่วนกับภาพถ่ายดาวเทียมที่รอยเตอร์ตรวจสอบ และเป็นพื้นที่บริเวณขอบด้านในของเขตมนุษยธรรม ซึ่งอยู่ใกล้กับจุดที่อาจยังมีการสู้รบดำเนินอยู่ ส่วนภาพถ่ายที่เผยแพร่ออกมาเป็นเพียงพื้นที่โล่งคล้ายพื้นทรายที่ไม่มีสัญญาณของโครงสร้างพื้นฐานใด ๆ ในบริเวณใกล้เคียง

เทสส์ อินแกรมส์ โฆษกยูนิเซฟซึ่งลงพื้นที่กาซาในสัปดาห์นี้กล่าวว่า พื้นที่ในมาวาซีเหลือน้อยมาก โดยเธอเห็นเต็นท์ถูกกางอยู่ตามไหล่ทาง และยังระบุด้วยว่าพื้นที่ตอนในของมาวาซีเป็นจุดที่มีสภาพเลวร้ายที่สุด

“สำหรับครอบครัวจำนวนมากที่อพยพมาระลอกล่าสุดนี้ พื้นที่ว่างที่พอจะหาได้ก็อยู่ในบริเวณที่อาจจะไม่มีแม้แต่ถังเก็บน้ำ” อินแกรมส์กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ก.ย. 68)