สรท. เสนอ 7 มาตรการด่วนให้รัฐบาล-ธปท. ดูแลบาทแข็ง รับมือตลาดโลกแข่งขันรุนแรง

นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมระหว่าง คณะกรรมการ สรท. กับผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า สถานการณ์การส่งออกสินค้าจากเอเชียไปยังสหรัฐอเมริกา เริ่มมีทิศทางการเติบโตลดลงจากช่วงครึ่งปีแรก สะท้อนจากตลาดขนส่งทางทะเลในเส้นทาง Trans-Pacific Eastbound ซึ่งแม้สายการเดินเรือจะเริ่มทยอยยกเลิกเที่ยวเรือ (Blank Sailing) แต่ยังคงมีระวางเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก

เนื่องจากการจองระวางเรือก่อนช่วง Golden Week ของจีน น้อยกว่าปีก่อนหน้าอย่างชัดเจน ซึ่งทดแทนด้วยการส่งสินค้าไปยังภูมิภาคอื่นของโลก และจะส่งผลการแข่งขันทางการค้าทั้งในตลาดโลก และในประเทศรุนแรงมากขึ้นในช่วงโค้งสุดท้ายของปี

โดยมองว่า ประเทศไทยเสียเปรียบคู่แข่งสำคัญ เนื่องจากปัจจุบัน ค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าสกุลเงินอื่น อาจทำให้เสียโอกาสในการเร่งเครื่องส่งออกโค้งสุดท้ายของปี

ทั้งนี้ คณะกรรมการ สรท. ได้นำเสนอ 7 มาตรการเร่งด่วนเพื่อให้รัฐบาล ธปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการ ประกอบด้วย

1. ขอให้ ธปท. กำกับดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ และสอดคล้องกับทิศทางค่าเงินของภูมิภาค

2. ขอให้รัฐบาล และ ธปท.ลดต้นทุนการประกอบธุรกิจ อาทิ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับแรงงาน ต้นทุนพลังงาน และชะลอการออกกฎหมาย หรือการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมจากการประกอบธุรกิจ

3. เร่งรัดการพิจารณาอนุมัติ และเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และเพิ่มวงเงินงบประมาณสำหรับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าในประเทศ

4. เร่งแก้ไขปัญหาโลจิสติกส์การค้า โดยเฉพาะปัญหาความแออัดท่าเรือแหลมฉบังให้เป็นรูปธรรม และกำหนดแนวทางดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามข้อเสนอของภาคเอกชน

5. เพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลมาตรฐานสินค้านำเข้า เพื่อปกป้องความปลอดภัยของผู้บริโภค และให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรมกับผู้ประกอบการในประเทศ

6. ตรวจสอบกฎแหล่งกำเนิดสินค้าสำหรับการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทย ออกไปลงทุนในต่างประเทศ และนำรายได้กลับเข้าสู่ประเทศผ่านมาตรการ Double Taxation

7. สานต่อนโยบายที่ดีจากรัฐบาลที่ผ่านมา และมุ่งเน้นสร้างความโปร่งใสในการบริหารจัดการงบประมาณ เพื่อให้สามารถใช้งบประมาณให้เกิดความคุ้มค่าต่อประเทศมากที่สุด

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ก.ย. 68)