
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า จากการหารือการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ผ่านมาพบว่าทุกพรรคเห็นตรงกันว่าจะต้องร่วมกันทำงานเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งจากระยะเวลาที่มีอยู่เชื่อว่าสามารถดำเนินการแก้ไขได้ทัน โดยขั้นตอนแรกคือ ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ต่อที่ประชุมสภา พร้อมเพิ่มหมวดที่ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเข้าสู่การพิจารณาของสมาชิกสภา เพื่อนำไปสู่การทำคำถามประชามติ
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า สิ่งที่พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน (ปชน.) ต้องทำคือการถอนร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขมาตรา 256 ที่ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับเดิมที่ค้างอยู่ในระเบียบวาระออกก่อน พร้อมนำเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขมาตรา 256 ใหม่ หากทุกพรรคการเมืองจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเห็นชอบร่วมกันเข้าสู่การพิจารณาของสภา เพื่อพิจารณาในวาระแรก ซึ่งสามารถรับหลักการได้พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาพิจารณาก่อนปิดสมัยประชุมนี้ พอเปิดสมัยประชุมในเดือนธันวาคมก็สามารถพิจารณาในวาระที่ 2 และวาระที่ 3 ได้เลย
“ที่น่าเป็นกังวลในการแก้รัฐธรรมนูญในครั้งนี้คือ สว. จะเห็นชอบด้วยหรือไม่ หาก สว.ไม่เห็นชอบด้วยทุกอย่างที่ทำมาทั้งหมดก็จบลง เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราใดก็ตามต้องได้รับความเห็นชอบจาก สว.ไม่ต่ำกว่า 67 เสียงหรือ 1 ใน 3 ของจำนวน สว.ที่มีอยู่ ดังนั้นหาก สว.ไม่เอาด้วยก็ไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ ทุกอย่างที่ทำมาไปต่อไม่ได้อย่างแน่นอน” นพ.ชลน่าน กล่าว
นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคการเมืองฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร หรือวิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงการทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทยในฐานะฝ่ายค้านว่า เริ่มทำงานอย่างไม่เป็นทางการแล้ว จึง อยากเชิญชวนให้พรรคเพื่อไทยในฐานะที่เป็นเสียงข้างมากในสภาฯ ผ่านกฎหมายต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์กับประชาชนให้มากที่สุด
ส่วนความกังวลร่างรัฐธรรมนูญจะสำเร็จได้ทัน 4 เดือนหรือไม่ นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า บรรยากาศขณะนี้เป็นไปด้วยดี และทั้ง 3 พรรคการเมืองเห็นตรงกันที่จะพยายามหาทางออกร่วมกัน โดยตั้งทีมงานเฉพาะขึ้นมาดูข้อกฎหมาย ซึ่งเมื่อคืนก็ได้มีการประชุมกันเรื่องนี้ ฉะนั้นหากเห็นตรงกันว่าจะเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญมาตราเดียวที่ยังเป็นปัญหาได้
ทั้งนี้ ตนเชื่อว่า ใช้เวลาไม่นาน เพราะในส่วนการทำประชามติคำถามที่ 1 ก็ใช้แค่มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เท่านั้น และคำถามที่ 2 ก็ขึ้นอยู่กับรัฐสภา โดยแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงมาตราเดียว
ส่วนกรณีที่สังคมเริ่มตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดต้องแก้รัฐธรรมนูญก่อนแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน นายปกรณ์วุฒิ มองว่า เราคงไม่ใช้ทุกทรัพยากรทั้งสส. สว. หรือรัฐมนตรี ทำเรื่องเดียว เพราะทุกเรื่องสามารถทำพร้อมกันได้ ดังนั้น ควรเลิกใช้ตรรกะนี้ได้แล้ว
พร้อมยืนยันว่า สิ่งที่เป็นปัญหาคือรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่ถูกเขียนโดยขาดความชอบธรรม ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้การเมืองไม่มีเสถียรภาพ และทำให้การแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนเป็นไปได้ยาก เพราะทุกอย่างสอดคล้องกัน ทุกพรรคการเมืองจึงเห็นพ้องที่จะแก้ไข ขณะเดียวกัน เราก็ไม่ได้บอกว่าจะหยุดแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน แต่เห็นว่าอะไรที่เป็นประโยชน์ก็ควรจะทำไปพร้อม ๆ กัน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ก.ย. 68)