
บริษัท บังกี้ จำกัด (BUNGE) และ บมจ.กรุงเทพโปรดิ๊วส (BKP) บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อยกระดับความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตร หลังจากความสำเร็จในการทดสอบแพลตฟอร์มบล็อกเชนที่ใช้ตรวจสอบย้อนกลับถั่วเหลืองและวัตถุดิบจากถั่วเหลืองที่ยั่งยืนในปีที่ผ่านมา ทำให้ในปีนี้ทั้งสองบริษัทขยายการนำเทคโนโลยีนี้มาซื้อขายถั่วเหลืองและกากถั่วเหลืองที่บังกี้จัดหาจากบราซิลให้กับ บมจ.กรุงเทพโปรดิ๊วส (BKP) และ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) สำหรับการผลิตอาหารและอาหารสัตว์ในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้งสองบริษัทมีความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะพัฒนา เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อบูรณาการระบบอย่างไร้รอยต่อ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตรที่ยั่งยืน รวมถึงความร่วมมือในโครงการลดคาร์บอนที่มีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน สอดคล้องกับเป้าหมายของเครือซีพีที่จะบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 รวมถึงการใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของบังกี้เพื่อขับเคลื่อนโครงการเกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู

ตั้งแต่ปี 2566 บังกี้ และซีพี ร่วมกันศึกษาห่วงโซ่อุปทานยั่งยืนและเชื่อมต่อข้อมูลร่วมกันด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ครอบคลุมทั้งด้านเทคนิค การดำเนินงาน และความเป็นไปได้เชิงพาณิชย์ โดยในปีที่ผ่านมาประสบความสำเร็จในการทดลองนำร่องขนส่งกากถั่วเหลืองราว 375,000 เมตริกตัน ที่มีเทคโนโลยีบล็อกเชนตรวจสอบย้อนกลับกากถั่วเหลืองเหล่านี้ และด้วยข้อตกลงปัจจุบัน เทคโนโลยีนี้จะถูกนำไปใช้ในวงกว้างมากขึ้น
ทั้งสองบริษัท จะนำข้อมูลวัตถุดิบจากการจัดหาร่วมกัน มาบันทึกและซื้อขายผ่านบล็อกเชน ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบย้อนกลับธัญพืชได้อย่างครบถ้วนตั้งแต่แหล่งเพาะปลูก การแปรรูป และการขนส่ง จนถึงปลายทาง เทคโนโลยีบล็อกเชน ทำให้ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลเหล่านี้ได้ จึงช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสตลอดห่วงโซ่อุปทาน
“ด้วยแพลตฟอร์มบล็อกเชน ทำให้เรากำลังเชื่อมต่อ การผลิตอาหารของเรา เข้ากับลูกค้าปลายทางโดยตรง โดยที่กระบวนการทั้งหมดสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ โดยมีข้อมูลต่างๆตลอดห่วงโซ่อุปทานที่มีความรับผิดชอบอย่างครบถ้วน มั่นใจได้ว่าทุกขั้นตอนในห่วงโซ่มีส่วนสร้างอนาคตที่โปร่งใสและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ความสำเร็จของโครงการนำร่องยังเปิดโอกาสให้เราขยายความร่วมมือเชิงพาณิชย์กับซีพี และพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ เช่น เกษตรกรรมเชิงฟื้นฟู” ฮูลิโอ การ์รอส ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการร่วมของบังกี้กล่าว
ฐิติ ลุจินตานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรุงเทพโปรดิ๊วส กล่าวว่า ความร่วมมือกับผู้นำระดับโลกด้านการเกษตรอย่าง บังกี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ห่วงโซ่อุปทานของซีพี รวมถึงช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกอีกด้วย การขยายความร่วมมือในครั้งนี้ ยังคลอบคลุมการเข้าถึงระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัย แพลตฟอร์มดิจิทัล และโมเดลการจัดหาที่ยั่งยืน ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเปิดตลาดใหม่ ๆ ให้กับทั้งสองฝ่าย เรายังมุ่งหวังการเติบโตในระยะยาวที่จะสร้างมูลค่ากับลูกค้าทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย

การขยายความร่วมมือระหว่าง บังกี้ และ BKP ในปี 2568 จึงครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ เช่น การจัดหาวัตถุดิบเกษตรหลัก การพัฒนากระบวนการจัดซื้อที่มีประสิทธิภาพร่วมกัน และการปรับปรุงกระบวนการขนส่ง จนถึงปลายน้ำคือโรงงานอาหารสัตว์ของซีพีในภูมิภาคนี้
“การจัดหาวัตถุดิบภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ ดำเนินการตามระเบียบและมาตรฐานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมสำหรับคู่ค้าของทั้งบังกี้และเครือซีพี ทั้งสองบริษัทต่างมุ่งมั่นสร้างห่วงโซ่อุปทานปลอดการตัดไม้ทำลายป่าในปี 2025 แพลตฟอร์มนี้ยังเปิดให้เข้าถึงข้อมูลทางสังคมและสิ่งแวดล้อมจากแปลงปลูกต้นทาง รวมถึงเอกสารการรับรองมาตรฐานถั่วเหลือง เช่น มาตรฐาน Round Table on Responsible Soy (RTRS) ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งในความมั่งมั่นของเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่จะขับเคลื่อนห่วงโซ่อุปทานที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ Net Zero ภายในปี 2050” ฐิติ กล่าวเสริม
“เราเชื่อในพลังของความร่วมมือเพื่อสร้างมาตรฐานความยั่งยืนที่ดีขึ้น และความร่วมมือกับซีพี เป็นตัวอย่างของการที่เราสามารถขยายโซลูชัน เพื่อมอบความโปร่งใส รวมถึงข้อมูลเชิงลึกของห่วงโซ่อุปทานอย่างครบถ้วน สอดคล้องกับเป้าหมายที่เราต่างมีร่วมกัน” พาเมลา โมเรรา ผู้อำนวยการฝ่ายความยั่งยืนประจำภูมิภาคอเมริกาใต้ของบังกี้กล่าว
แพลตฟอร์มบล็อกเชนดังกล่าวได้รับการพัฒนาโดยบังกี้ ร่วมกับบริษัท Justoken ซึ่งเชี่ยวชาญด้านโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชน บังกี้ยังเป็นผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์รายแรกของโลกที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้รวมถึงติดตามการจัดซื้อถั่วเหลืองทั้งทางตรงและทางอ้อมได้ 100% ในพื้นที่สำคัญของเขตเซอร์ราโด ประเทศบราซิล บริษัทใช้เทคโนโลยีดาวเทียมขั้นสูงเพื่อติดตามพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการตัดไม้ทำลายป่า โดยปัจจุบันระบบดังกล่าวครอบคลุมจำนวนฟาร์ม กว่า 36,000 แห่ง และพื้นที่กว่า 46 ล้านเฮกตาร์ในอเมริกาใต้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ก.ย. 68)