
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แวดวงเทคโนโลยีต่างจับตาไปที่อีเวนต์ “Awe Dropping” ของแอปเปิ้ล (Apple) เพื่อรอชมการเปิดตัว iPhone 17 Series จำนวน 4 รุ่น ได้แก่ iPhone 17, iPhone 17 Air, iPhone 17 Pro และ iPhone 17 Pro Max หลังจากที่รอคอยมานานหนึ่งปีเต็มจากรุ่นก่อนหน้า
สำหรับไทยได้เปิดรับจองซื้อ iPhone 17 Series ไปแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ในกลุ่ม Tier 1 ก่อนเริ่มส่งมอบจริงในวันที่ 19 ก.ย. หรือวันศุกร์นี้
iPhone 17 Series ของแอปเปิ้ลได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะรุ่นเรือธงอย่าง Pro Max ที่เปิดให้จองซื้อจนหมดเกลี้ยงภายในเวลาเพียงไม่กี่นาทีหลังเปิดรับจองในหลาย ๆ ประเทศ
ความสำเร็จที่เห็นได้ชัดตั้งแต่ช่วงแรกนี้ ได้ตอกย้ำถึงความสามารถของแอปเปิ้ลในการผลักดันยอดขายสมาร์ตโฟนระดับพรีเมียม ทั้งที่ก่อนหน้านี้คาดการณ์กันว่ายอดขายไม่น่าจะคึกคัก ทั้งด้วยผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ประกอบกับการที่ไม่ได้มีนวัตกรรมใหม่อย่างมีนัยสำคัญ
*สัญญาณความต้องการที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้
นักวิเคราะห์ในแวดวงอุตสาหกรรมเปิดเผยว่า ความต้องการ iPhone 17 Series ในช่วงสัปดาห์แรกนั้นพุ่งสูงกว่ายอดขาย iPhone 16 เมื่อปีที่แล้วอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะรุ่น Pro Max ที่ได้รับความสนใจอย่างมาก ซึ่งถือเป็นการพลิกกลับจากสถานการณ์ของ iPhone 16 ซึ่งกระแสตอบรับในขณะนั้นค่อนข้างซบเซา
iPhone 17 Pro Max สี Cosmic Orange กลายเป็นดาวเด่นที่ทำยอดขายถล่มทลาย ทำให้กำหนดการส่งมอบสินค้าสำหรับลูกค้าที่สั่งจองใหม่ต้องเลื่อนออกไปจนถึงเดือนต.ค. โดยขณะนี้ร้านค้าออนไลน์ของแอปเปิ้ลแสดงช่วงเวลาการจัดส่งเร็วที่สุดที่ “3-4 สัปดาห์”
ความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่รุ่นใดรุ่นหนึ่ง แต่ลามไปถึง iPhone 17 ทั้งซีรีส์ โดยแอปเปิ้ลได้เพิ่มเป้าหมายการผลิต iPhone 17, 17 Pro และ 17 Pro Max ขึ้น 25% เมื่อเทียบกับรุ่นเดียวกันในไตรมาส 3 ของปี 2567
แม้จะมีการเพิ่มการผลิตขนานใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแอปเปิ้ลได้เพิ่มการผลิต iPhone 17 Pro Max มากกว่า iPhone 16 Pro Max ถึง 60% แต่เวลาการจัดส่ง iPhone 17 Series โดยประมาณก็ยังคงนานกว่าสมัยเปิดตัว iPhone 16 Series ซึ่งบ่งชี้ว่าความต้องการที่แท้จริงแข็งแกร่งกว่าที่คิดและไม่ได้มาจากปัญหาเรื่องซัพพลายแต่อย่างใด
*ความสำเร็จครั้งสำคัญในจีน
ในตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดสำคัญของแอปเปิ้ลและถูกใช้เป็นตัวชี้วัดภาพรวมยอดขายในระดับโลกนั้น กระแสตอบรับ iPhone 17 ออกมายอดเยี่ยมเป็นพิเศษ เพราะยอดขาย iPhone 17 Pro Max ในนาทีแรกนาทีเดียวนั้น เทียบเท่ากับยอดขาย iPhone 16 Pro Max รวมตลอดทั้งวันแรก
ความสำเร็จอันโดดเด่นนี้น่าจับตาเป็นพิเศษ เพราะตลาดสมาร์ตโฟนจีนเองก็แข่งขันกันดุเดือดอยู่แล้ว โดยแบรนด์จีนอย่างหัวเว่ย (Huawei) เสียวหมี่ (Xiaomi) และออปโป้ (Oppo) กวาดส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนการที่สมาร์ตโฟนของแอปเปิ้ลยังคงมีดีมานด์ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ บ่งชี้ว่าสถานะความเป็นแบรนด์พรีเมียมและความภักดีต่อแบรนด์แอปเปิ้ลยังคงแข็งแกร่ง แม้จะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นก็ตาม
*Pro Max สีใหม่พรีออเดอร์หมดเกลี้ยงในสหรัฐฯ และอินเดีย สยบกระแสกังวลเรื่องยอดขาย
iPhone 17 Pro Max สี Cosmic Orange ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลายจนกวาดยอดจองซื้อหมดเกลี้ยงในสหรัฐฯ และอินเดีย โดยสี Cosmic Orange มีคำสั่งซื้อล่วงหน้าจำนวนมหาศาล ทำให้ตอนนี้ไม่มีสินค้าเหลือในทุกความจุ
โดยเฉพาะในอินเดีย iPhone Pro Max ทั้งซีรีส์ไม่สามารถสั่งซื้อล่วงหน้าแบบรับสินค้าที่หน้าร้านได้
สำหรับผู้ที่พลาดช่วงสั่งจองล่วงหน้ายังสามารถสั่งซื้อได้ แต่สินค้าจะจัดส่งหลังจากวันที่ 7 ต.ค. นอกจากนี้ ในวันที่ 19 ก.ย. ซึ่งเป็นวันแรกที่เปิดให้รับเครื่อง อาจมีสินค้าจำนวนจำกัดวางจำหน่ายที่บางร้านค้า ซึ่งจะให้บริการตามลำดับก่อนหลัง
แอปเปิ้ลมีแผนที่จะเพิ่มการผลิต iPhone เป็น 60 ล้านเครื่องในปีนี้ จากเดิม 35-40 ล้านเครื่องในรอบปี 2567-2568
*iPhone Air อาจเป็นไพ่ลับ
หนึ่งในไฮไลต์สำคัญในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ครั้งนี้ คือการที่แอปเปิ้ลเปิดตัว iPhone Air ขนาดบางเฉียบเข้ามาแทนที่รุ่น Plus ที่ถูกยกเลิกไป โดย iPhone Air หนาเพียง 5.6 มม. และหนัก 165 กรัม ทำให้เป็น iPhone ที่บางที่สุดเท่าที่เคยมีมา และให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากดีไซน์ iPhone แบบเดิม ๆ อย่างชัดเจน
การวางตำแหน่งของ iPhone Air สะท้อนถึงการเดิมพันเชิงกลยุทธ์เพื่อดึงดูดผู้ใช้ที่ให้ความสำคัญกับการพกพาและดีไซน์มากกว่าความแรงของเครื่อง สื่อที่ได้สัมผัสเครื่องจริงต่างยกให้คุณภาพงานประกอบระดับพรีเมียมและความบางเฉียบเป็นจุดขายหลัก ซึ่งอาจโดนใจผู้ใช้ที่มองว่า iPhone รุ่นก่อน ๆ มีขนาดใหญ่เกินไปแต่ยังต้องการหน้าจอที่ใหญ่
อย่างไรก็ตาม การตอบรับของตลาดที่มีต่อ iPhone Air ยังคงเป็นปัจจัยที่ไม่แน่นอนที่สุดในไลน์ผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ลขณะนี้ โดยนี่เป็นครั้งแรกที่มีรุ่น Air ปรากฏในตระกูล iPhone จึงไม่สามารถเปรียบเทียบกับข้อมูลในอดีตได้ และทำให้นักวิเคราะห์ไม่มีเกณฑ์วัดความสำเร็จที่ชัดเจน
แอปเปิ้ลค่อนข้างมีความระมัดระวังในการผลิต iPhone Air โดยแอปเปิ้ลได้เพิ่มเป้าหมายการผลิตขึ้น 3 เท่า เมื่อเทียบกับ iPhone 16 Plus ซึ่งการที่ iPhone Air ไม่มีการแจ้งเตือนการจัดส่งล่าช้า บ่งชี้ว่ารุ่นนี้ไม่ได้ขายดีจนผลิตไม่ทัน กลยุทธ์การผลิตนี้ช่วยให้แอปเปิ้ลทดสอบความต้องการของตลาดได้โดยไม่ต้องลงทุนทรัพยากรมากเกินไป และเป็นเกมที่ต้องดูกันยาว ๆ ว่า iPhone Air จะได้ไปต่อหรือไม่
นักวิเคราะห์มองว่า กระแสตอบรับ iPhone Air ยังคงเป็นเหมือนไพ่ลับ ซึ่งยังคงมีแนวโน้มไม่แน่นอน โดยความสำเร็จหรือความล้มเหลวของ iPhone Air อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ในอนาคตของแอปเปิ้ล หากการเปิดตัวประสบความสำเร็จ แอปเปิ้ลอาจจะตัดสินใจเพิ่มความหลากหลายให้กับไลน์ iPhone ด้วยรุ่นที่เน้นดีไซน์มากขึ้น แต่หากการตอบรับไม่ดีอาจเป็นสัญญาณว่าผู้บริโภคให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพและอายุแบตเตอรี่มากกว่าดีไซน์ภายนอก
*หวังปั้นปัญญาประดิษฐ์ ขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาว
แม้ตอนนี้ความสนใจส่วนใหญ่จะมุ่งไปที่ยอดขายและระบบการผลิต iPhone 17 แต่ผู้เชี่ยวชาญในวงการต่างมองว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) คือปัจจัยหลักที่จะขับเคลื่อนการเติบโตของแอปเปิ้ลในอนาคต โดยกลยุทธ์ AI ของแอปเปิ้ลอย่าง “Apple Intelligence” ถือเป็นแผนการสำคัญในทางกลยุทธ์และอาจพลิกโฉมสถานะด้านการแข่งขันของแอปเปิ้ลได้เลยทีเดียว
ทิม คุก ซีอีโอของแอปเปิ้ล ก็เคยกล่าวอย่างชัดเจนถึงความสำคัญของ AI ที่มีต่ออนาคตของบริษัทฯ โดยยกให้ AI เป็นการเปลี่ยนแปลงที่อาจยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาเอง
อย่างไรก็ตาม การเปิดตัว AI ของแอปเปิ้ลนั้นค่อนข้างช้ากว่าคู่แข่ง ทำให้แอปเปิ้ลถูกมองว่ากำลังตามหลัง โดยความสำเร็จของกลยุทธ์ AI อาจเป็นตัวกำหนดมูลค่าของแอปเปิ้ลได้ในที่สุด ซึ่งการที่แอปเปิ้ลมี “กลุ่มผู้ใช้ที่มั่งคั่งและภักดี” ถือเป็นข้อได้เปรียบในการนำ AI มาใช้งาน เนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้อาจเต็มใจที่จะจ่ายเงินเพิ่มเพื่อเข้าถึงฟีเจอร์และบริการที่ใช้ AI ขั้นสูงได้มากกว่า
*สินค้าใหม่และแผนงานในอนาคต
นอกจาก iPhone 17 แล้ว แอปเปิ้ลยังมีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่น่าจับตามองในช่วงที่เหลือของปีนี้อีกหลายอย่าง โดยคาดการณ์กันว่า แอปเปิ้ลเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมอีก 5 รายการภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งเป็นการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ในหลาย ๆ หมวดหมู่
ผลิตภัณฑ์ที่คาดว่าจะได้เห็นคือ iPad Pro รุ่นใหม่ที่มาพร้อมชิป M5 ซึ่งจะให้ประสิทธิภาพการประมวลผลและการจัดการพลังงานที่ดีขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า iPad Pro M5 จะมาพร้อมกล้องหน้าตัวที่สองในแนวตั้งด้วย
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า แอปเปิ้ลกำลังพัฒนาแว่นตา Vision Pro รุ่นอัปเกรด จากชิป M2 ไปเป็น M5 ที่ทรงพลังกว่าเดิม แม้ดีไซน์ภายนอกจะยังคงคล้ายคลึงกัน แต่ Vision Pro รุ่นใหม่อาจมาพร้อมสายรัดที่ออกแบบใหม่และตัวเลือกสี Space Black
สำหรับกลุ่มสินค้าสมาร์ตโฮม จะมีการอัปเดตทั้ง Apple TV และ HomePod mini โดยคาดว่าทั้งสองอุปกรณ์จะได้รับโปรเซสเซอร์ใหม่และชิปเครือข่าย N1 ของแอปเปิ้ล สำหรับการอัปเกรด Apple TV จะเพิ่มการรองรับ Siri รุ่นใหม่ และฟีเจอร์ Apple Intelligence ส่วน HomePod mini อาจมีสีใหม่ ๆ ให้เลือกมากขึ้นเพื่อให้เข้ากับการตกแต่งบ้าน
แอปเปิ้ลยังมีแผนเปิดตัว AirTag 2 ซึ่งมาพร้อมชิป U2 ที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการค้นหาและปรับปรุงบริการระบุตำแหน่งให้ดีขึ้น นับเป็นการอัปเดตครั้งสำคัญครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ได้เปิดตัว AirTag ครั้งแรก
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมชี้ว่า มีหลายปัจจัยที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของแอปเปิ้ลในช่วงที่เหลือของปีนี้และปีหน้า ตัวชี้วัดสำคัญที่ต้องจับตานั้นมีทั้งข้อมูลยอดขาย iPhone 17 โดยเฉพาะในจีนและตลาดอื่น ๆ อัตราการนำฟีเจอร์ Apple Intelligence ไปใช้งาน และความเห็นของผู้บริหารเกี่ยวกับประสิทธิภาพและการตอบรับของ iPhone Air
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่า หากการเติบโตของ iPhone ยังคงอยู่ในระดับสูง (ในอัตราหลักหน่วยปลาย ๆ ถึงหลักสิบต้น ๆ) ในขณะที่ iPhone Air ได้รับการยอมรับจากตลาด ปีงบการเงิน 2569 ก็อาจเป็นปีที่ iPhone คึกคักเป็นพิเศษ และเมื่อรวมปัจจัยตามฤดูกาลในช่วงวันหยุดและรายได้จากธุรกิจบริการที่เพิ่มขึ้นแล้ว รายได้และกำไรก็น่าจะขยายตัวต่อเนื่องในอัตราหลักสิบ
ในขณะที่แอปเปิ้ลกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ซับซ้อน ตั้งแต่ความตึงเครียดทางการค้าในระดับโลก การแข่งขันด้าน AI ไปจนถึงรสนิยมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป การเปิดตัว iPhone 17 จึงไม่เพียงแค่เป็นการทดสอบความสามารถของแอปเปิ้ลในการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ แต่ยังเป็นตัวกระตุ้นที่อาจจุดประกายการเติบโตครั้งใหม่ด้วย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ก.ย. 68)