
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงมุมมองต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี วา การจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ เป็นการผสมผสานระหว่างนักการเมือง นักวิชาการ ข้าราชการประจำและผู้บริหารจากภาคเอกชน ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการวางทิศทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมและการลงทุนของประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากทั้งในและต่างประเทศ
“ภาคอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับการทำงานของรัฐบาลชุดนี้เป็นอย่างมาก เพราะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ขณะที่การแข่งขันระดับโลกด้านเทคโนโลยี พลังงาน และสิ่งแวดล้อมทวีความรุนแรงขึ้น สิ่งที่ทุกภาคส่วนคาดหวัง คือ การที่รัฐบาลทำงานอย่างมีเอกภาพ วางนโยบายที่ชัดเจนและต่อเนื่อง เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” นายเกรียงไกร กล่าว
ทั้งนี้ ระยะเวลา 4 เดือนของการเป็นรัฐบาล ถือว่าท้าทายมากสำหรับการทำงาน จึงต้องการเห็นความร่วมมือ ความตั้งใจจริง และการทำงานเป็นทีมของ ครม. รวมทั้งอยากให้นำ “5 ข้อเสนอเร่งด่วน” ที่ ส.อ.ท. ได้นำเสนอไว้จากการหารือที่ผ่านมา นำไปปรับเป็นมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งจะครอบคลุมหัวข้อดังนี้
1) การเตรียมความพร้อมรับมือมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และสงครามการค้า ซึ่งจะต้องเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการต่างประเทศอย่างใกล้ชิด โดยจากการหารือที่ผ่านมา ทางนายกรัฐมนตรีและคณะ พร้อมรับข้อเสนอของ ส.อ.ท. ในการเร่งสร้างความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขใหม่ของสินค้าที่จะส่งออกไปสหรัฐฯ การจัดตั้งหน่วยงานให้คำปรึกษาเรื่องการคำนวณสัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศ/ภูมิภาค (RVC) รวมทั้งกำกับดูแลการนำเข้าและการตรวจสอบสินค้าให้เป็นไปตามกฎหมาย ควบคู่กับการผลักดันการใช้และการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดยเน้นซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศหรือ Made in Thailand (MiT) เพื่อกระจายเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ สร้างแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการไทยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศในระยะยาว
2) การส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs โดยจะทำงานร่วมกับกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ เพื่อเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะสั้นด้วยการกำหนดมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น และมีนโยบายซอฟต์โลน ดอกเบี้ยต่ำ ควบคู่กับการปฏิรูประบบภาษีให้ทันสมัย โปร่งใส และเป็นธรรม พร้อมทั้งจัดทำมาตรการจูงใจให้ SMEs เข้าสู่ระบบบัญชีเดียวและเสียภาษีที่ถูกต้อง เพื่อมีสิทธิในการรับประโยชน์ต่างๆ จากโครงการความช่วยเหลือจากภาครัฐในอนาคต
3) การปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการ โดยร่วมมือกับกระทรวงพลังงาน เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ โดยในระยะสั้น มุ่งหวังให้มีการลดค่าไฟให้แก่ประชาชน และลดต้นทุนค่าพลังงานให้แก่ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม ให้สามารถแข่งขันได้ โดยไม่ผลักภาระไปที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ขณะเดียวกันต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานให้มีเสถียรภาพและเพียงพอต่อความต้องการในอนาคต ควบคู่กับการส่งเสริมพลังงานสะอาด เพื่อสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมให้แข่งขันได้บนเวทีโลกและสอดคล้องกับมาตรการสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศในระยะยาว
4) การรับมือผลกระทบจากปัญหาการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ โดยร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงคมนาคม เร่งเจรจาปัญหาเพื่อหาข้อยุติโดยเร็ว หามาตรการช่วยเหลือและเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากช่วงการปิดด่านในระยะเร่งด่วน ระยะสั้นและระยะยาว อีกทั้งช่วยหาเส้นทางการขนส่งสินค้าด้วยเส้นทางอื่นๆ ทดแทน รวมถึงมาตรการเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการขาดรายได้ และชดเชยค่าขนส่งที่สูงขึ้นหลายเท่าตัว เพื่อให้ผู้ประกอบการยังคงสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง
5) การบริหารจัดการผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่ง ส.อ.ท. ได้สะท้อนความกังวลต่อการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย โดยการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการแก้ปัญหาปม ‘เงินไม่รู้ที่มา ทะลักเข้าไทยทุกเดือนจำนวนมากผิดปกติในช่วงที่ผ่านมา’ ซึ่งอาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ค่าเงินบาทไทยแข็งค่าเกินปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย รวมทั้งหามาตรการเงินช่วยเหลือแก่อุตสาหกรรมส่งออกไทยที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาท
นอกจากนี้ ส.อ.ท. มุ่งยกระดับอุตสาหกรรมไทยและผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ดิจิทัลและเทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อเพิ่มมูลค่าภาคการผลิตและสร้างความสามารถแข่งขันในระดับโลก
ด้านแรงงานถือเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญ โดย ส.อ.ท. พร้อมร่วมกับกระทรวงแรงงาน พัฒนาทักษะฝีมือแรงงานไทยให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมในอนาคต ทั้งในด้านดิจิทัล เทคโนโลยีขั้นสูง และอุตสาหกรรมสีเขียว เพื่อสร้างแรงงานคุณภาพสูงที่พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานยุคใหม่
ในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ส.อ.ท. ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย 5G-6G การสนับสนุนเทคโนโลยี AI และ IoT รวมถึงมาตรการความมั่นคงไซเบอร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความได้เปรียบในการแข่งขันของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการรับผิดชอบของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
สำหรับด้านนวัตกรรม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นหนึ่งในกระทรวงที่มีความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยใช้นวัตกรรมเป็นพลังหลัก ประเทศไทยต้องเน้นสร้าง “นวัตกรรมมุ่งเป้า” โดยใช้จุดแข็งของไทยนำมาต่อยอด เช่น ความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งไทยถือเป็นความได้เปรียบ ไปสู่เกษตรสมัยใหม่หรืออัจฉริยะ เพื่อพัฒนาวัตถุดิบป้อนไปสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายต่างๆ ซึ่งจะช่วยยกระดับรายได้ให้เกษตรกรซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของประเทศ
พร้อมกันนี้ จำเป็นต้องนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี AI มายกระดับศักยภาพบุคลากร ผ่านการจัดทำหลักสูตรที่ช่วย Upskill (ยกระดับทักษะเดิม) Reskill (เรียนรู้ทักษะใหม่) และ Newskill (สร้างทักษะใหม่ที่จำเป็นในอนาคต) เช่น การประยุกต์ใช้ AI และการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อสร้างกำลังคนคุณภาพ ตอบโจทย์ตลาดแรงงานและภาคอุตสาหกรรม
ขณะเดียวกัน ต้องเพิ่มมูลค่าสินค้าและสร้างความแตกต่างด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ไม่ใช่เพียงการแข่งขันด้านราคา เพื่อให้สินค้าของไทยมีความโดดเด่นและสามารถแข่งขันได้ในระยะยาว ซึ่งทั้งหมดนี้ คือ แนวทางสู่การยกระดับประเทศไทยให้เป็น “ประเทศที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม” อย่างมั่นคงและยั่งยืน
สำหรับภาคการท่องเที่ยวและกีฬา ในช่วงครึ่งปีหลัง ส.อ.ท. มองว่าภาครัฐควรมีมาตรการประชาสัมพันธ์เชิงรุก สร้างความเชื่อมั่นเพื่อดึงนักท่องเที่ยวกลับมา และจัดแพ็กเกจท่องเที่ยวไปยังเมืองรอง เพื่อกระจายรายได้ให้ทั่วถึง โดยไม่กระจุกตัวเพียงจังหวัดใหญ่ๆ เพียงแค่ 4-5 จังหวัด ส่วนระยะยาวควรปรับโครงสร้างด้านความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว พร้อมฟื้นฟูการท่องเที่ยวมูลค่าสูง (High-value Tourism) และสนับสนุนอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการจัดประชุมและงานแสดงสินค้า (MICE) เพื่อสร้างรายได้และกระจายเม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจท้องถิ่น
“4 เดือนแรก เราต้องเห็นผลลัพธ์แบบ Quick Win และอีก 4 เดือนถัดมาก็ควรเน้นการประคองให้ต่อเนื่อง สิ่งสำคัญที่สุด คือ การแปลงนโยบายเป็นการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและชัดเจน หากรัฐบาลสามารถทำได้เช่นนี้ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน และเสริมความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจไทย” นายเกรียงไกร กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 ก.ย. 68)