
โบรกเกอร์ส่วนใหญ่แนะ”ซื้อ “หุ้น บมจ.คาราบาวกรุ๊ป [CBG] มองรายได้ในประเทศจะทำนิวไฮตามส่วนแบ่งตลาดเดือน ส.ค.ที่ทำนิวไฮ 27.6% แม้รายได้จากกัมพูชาจะชะลอตัวลงไปจากปัญหาพิพาทชายแดนจนถึงขั้นปิดด่านกดดันรายได้ในไตรมาส 3/68 อ่อนตัว QoQ และ YoY
อย่างไรก็ดี ฝ่ายบริหารเร่งเปิดโรงงานผลิตในกัมพูชาในธ.ค.68 หรืออย่างช้า ม.ค.69 เพื่อช่วยลดข้อจำกัดในการส่งสินค้าทางเรือ และลดต้นทุนโลจิสติกส์ ส่วนประเด็นสินค้าไทยจะถูกแบนจากผู้บริโภคกัมพูชาหรือไม่ และความคืบหน้าปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ CBG จะกลับไปรุกตลาดจีน โดยจับมือพันธมิตรจีน โดยครั้งนี้จะส่งเฉพาะหัวเชื้อแล้วนำไปผลิตในโรงงานของพันธมิตรจีน ซึ่งรับผิดชอบทั้งการผลิตและการจัดจำหน่าย
สำหรับผลประกอบการในปี 68 คาดว่าจะยังเติบโตได้ เพราะในครึ่งปีแรกทำได้ดีมากกว่าคาด แต่ครึ่งปีหลังน่าจะแผ่วลง ประเมินกำไรปี 68 น่าจะเติบโต 10-14% ขณะที่ราคาหุ้น CBG ปรับตัวลงมาพอสมควรแล้ว
ปิดเที่ยงวันนี้ ราคาหุ้น CBG อยู่ที่ 57.00 บาท ลดลง 0.50 บาท (-0.87%)
โบรกเกอร์ | คำแนะนำ | ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) |
ดาโอ | ซื้อ | 79 |
ทิสโก้ | ซื้อ | 70 |
กรุงศรี | ซื้อ | 70 |
ซีจีเอสฯ | ซื้อ | 67.50 |
ฟินันเซีย ไซรัส | ซื้อ | 64 |
หยวนต้า | เทรดดิ้ง | 58 |
น.ส.สุรีย์พร ทีวะสุเวทย์ ผู้ข่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า CBG กล่าวว่า ส่วนแบ่งการตลาดของเครื่องดื่มชูกำลังของเดือนส.ค.68 ของ CBG ทำนิวไฮอยู่ที่ 27.6% เพิ่มขึ้น 1.2% จากเดือนก่อนหน้า คาดว่ารายได้ในประเทศน่าจะทำนิวไฮเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ดี CBG มีรายได้จากต่างประเทศ โดยเฉพาะกัมพูชา สัดส่วนประมาณ 13% ของรายได้รวม ซึ่งได้รับผลกระทบจากการปิดด่านชายแดนจึงทำให้ต้องขนส่งสินค้าไปทางเรือแทน จึงคาดว่ารายได้จากกัมพูชาในไตรมาส 3/68 น่าจะลดลง QoQ พอสมควร ซึ่งกำลังประเมินว่าจะทำให้รายได้รวมน่าจะอ่อนตัวลงทั้ง QoQ และ YoY
แต่ทั้งปี 68 คาดว่า CBG จะมีกำไรสุทธิ 3,199 ล้านบาท เติบโต 12.5% จากปีก่อน เพราะในช่วงครึ่งปีแรกมีผลประกอบการที่ดีมาก โดยกำไรสุทธิที่ 1,560 ล้านบาท คาดว่ากำไรสุทธิในครึ่งปีหลังจะอยู่ที่ 1,283 ล้านบาท แต่หากครึ่งปีหลังทำได้ต่ำกว่านี้ก็อาจจะกระทบคาดการณ์กำไรสุทธิทั้งปีนี้ จึงต้องรอดูภาพไตรมาส 3/68 ชัดเจนกว่านี้ ก่อนที่จะมีการทบทวนประมาณการในปี 68 โดยเฉพาะต้องติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และความรุนแรงของกระแสการแบนสินค้าไทย แต่ปัจจุบันรายได้ในกัมพูชาคาดว่าลดลง 30% QoQ
“ณ ปัจจุบันรายได้ในกัมพูชาลดลงไป 30% ยังเหลืออีก 70% ก็ยังมีรายได้ในส่วนนี้อยู่ ซึ่งสถานการณ์ยังไม่ได้ดีขึ้น ยังไม่ได้เปิดด่าน จังหวะนี้เขาก็ส่งทางเรือ อาจจะต้องดูว่าข้างในประเทศกัมพูชามีกระแสแอนตี้แบรนด์จากประเทศไทยหรือเปล่า คงต้องตามดูพัฒนาการอีกที”
ฝ่ายบริหารของ CBG เคยกล่าวว่ายังไม่ยอมแพ้สำหรับตลาดกัมพูชา โดย CBG จับมือพาร์ทเนอร์ท้องถิ่นที่เป็น Distributor ร่วมกันสร้างโรงงานผลิตคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน ธ.ค.68 หรืออย่างช้า ม.ค.69 เพื่อตัดความเสี่ยงของการส่งสินค้าเข้าไปจำหน่ายหรือส่งล่าช้า ซึ่งต้องติดตามกันว่าการก่อสร้างจะล่าช้าออกไปหรือไม่ และแม้ว่าจะตัดความเสี่ยงเรื่องการขนส่งแล้ว ก็ยังต้องมาดูว่ากระแสแอนตี้แบรนด์ไทย คือ “คาราบาวแดง” ซึ่งผู้บริหารเคยกล่าวไว้ว่าอาจพิจารณาทำแบรนด์ใหม่เพื่อให้เป็นแบรนด์ของคนกัมพูชาโดยเฉพาะ
ขณะเดียวกัน CBG กำลังจะกลับเข้ายังตลาดจีนอีกครั้งหลังก่อนหน้านี้เคยไปทำตลาดจีนแต่ไม่ประสบความสำเร็จจึงหยุดไป โดยการกลับเข้าไปขยายตลาดในจีน CBG จับมือกับผู้ประกอบการเครื่องดื่มรายใหญ่ของจีน โดยเฟสแรกอาจมีการทำตลาดเครื่องดื่มแอลกฮอล์ในไทย โดยให้บริษัทในกลุ่มคาราบาวเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่าย
ส่วน CBG จะกลับไปทำตลาดที่จีนแต่จะให้พันธมิตรจีนดังกล่าวให้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลังในจีน โดยจะขายหัวเชื้อซึ่งฝ่ายบริหารคาดการณ์ว่าจะให้ผลกำไรที่ดีขึ้น ต้นทุนโลจิสติกส์ที่ต่ำลง และลดความเสี่ยงในการจัดส่ง ซึ่งน่าจะเห็นความร่วมมือในปีหน้า อย่างไรก็ดี สัปดาห์นี้ CBG จะแถลงเปิดตัวพันธมิตรจีน
ทั้งนี้ ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 64 บาท อย่างไรก็ดี ในระยะสั้นภาพธุรกิจยังไม่สดใสจากปัจจัยกัมพูชาที่กระทบต่อผลประกอบการ แต่ซื้อลงทุนได้ หากกลับไปขายที่กัมพูชาได้ และยังมี upside เรื่องตลาดจีนที่ยังไม่ได้รวมเข้าไปในประมาณการ
บล.ทิสโก้ ระบุว่าแนวโน้มปริมาณการขายกลุ่มเครื่องดื่มพลังงานของ CBG ในประเทศยังเติบโตทั้งรายได้และปริมาณการขาย แม้ว่าส่วนแบ่งการตลาดเดือน ก.ค.68 จะลดลง -0.4%MoM มาอยู่ที่ 26.1% เนื่องจากภาคกลางซึ่งเป็นภาคที่ CBG แข็งแกร่ง ตลาดลดลง ในขณะที่ภาคอีสานซึ่งเป็นพื้นที่โฟกัสของแบรนด์คู่แข่งมีปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น และ CBG ไม่ได้ทำโปรโมชั่นในตลาด modern trade ในช่วงดังกล่าว สำหรับยอดขายส่งออกอ่อนตัวจากช่วง low season และผลกระทบจากชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นหลัก ด้านธุรกิจรับจ้างส่งสินค้าประเภทเหล้าเบียร์ยังเติบโตจากสินค้าเป็นที่นิยม
CBG จะได้ประโยชน์จากมาตรการ “คนละครึ่ง” คาดจะเริ่มเดือน ต.ค.68 เราคาดกลุ่มเครื่องดื่มพลังงานและกลุ่มรับจ้างส่งสินค้าประเภทเหล้าเบียร์จะได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายของผู้บริโภคมากขึ้น โดยข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา ยอดขายกลุ่มเครื่องดื่มพลังงานเพิ่มขึ้นประมาณ 5% และกลุ่มรับจ้างส่งสินค้าประเภทเหล้าเบียร์เพิ่มขึ้น 2 หลัก
นโยบายเร่งด่วนของภาครัฐฯ ด้านความมั่นคง จะเร่งแก้ไขปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ด้วยสันติวิธี พร้อมเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ เราคาดว่า CBG จะได้ประโยชน์หากสถานการณ์ผ่อนคลายลง จากสัดส่วนรายได้ในกัมพูชาปี 2567 คิดเป็น 60% ของการส่งออก หรือ 16% ของรายได้รวม
ค่าเงินบาทที่แข็งค่าคาดกระทบเล็กน้อย เรามองว่ามีผลกระทบเล็กน้อยเนื่องจากสัดส่วนรายได้การส่งออก 20% เป็นค่าเงินบาท 90-95% และ US$ ประมาณ 5-10% ในขณะที่บริษัทมีต้นทุนอะลูมิเนียมลดลงส่งผลให้เป็นปัจจัยบวกจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า
พันธมิตรกับตลาดจีน จะมีการประกาศการร่วมมือกับตัวแทนจำหน่ายรายใหม่ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ในจีน คาดว่าจะมีการแถลงข่าวปลายเดือน ก.ย.68 โดยในเฟสแรกจะเป็นการร่วมมือทางธุรกิจเบียร์ และเฟสถัดไปจะเป็นการเริ่มมือในธุรกิจกลุ่มเครื่องดื่มพลังงานซึ่งอาจจะเป็นยอดขายเข้ามาต้นปีหน้า โมเดลธุรกิจจะเป็นการขายหัวเชื้อซึ่งบวกรวมค่าลิขสิทธิ์และค่าการตลาดเข้าไปแล้ว ซึ่งมีกำไรขั้นต้นที่สูง
แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/68 เราคาดว่าจะเพิ่มเล็กน้อย YoY และลดลงเล็กน้อย QoQ (ต่ำกว่าที่เราคาดไว้เติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ) จากยอดขายในประเทศกลุ่มเครื่องดื่มพลังงานจะเพิ่มขึ้นสองหลัก และธุรกิจรับจ้างส่งสินค้าประเภทเหล้าเบียร์เพิ่มขึ้น แต่ยอดการส่งออกลดลง (สัดส่วน 20% ของรายได้รวม) เนื่องจากกัมพูชาที่ลดลงเป็นหลัก (สัดส่วนประมาณ 15% ของรายได้รวม) ที่ลดลง 20%-30% จากผลกระทบชายแดนไทย-กัมพูชา สำหรับประเทศอื่นๆ ลดลงจากช่วง low season ขณะที่อัตรามาร์จิ้นคาดจะใกล้เคียง QoQ จากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจากมูลค่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการทำการตลาด
เรายังคงประมาณการกำไรปี 68-69 จะเติบโตเฉลี่ย 10% (CAGR2Y) จากคาดรายได้ในประเทศเพิ่มขึ้นจากกลุ่มเครื่องดื่มพลังงานและธุรกิจการรับจ้างส่งสินค้าประเภทเหล้า/เบียร์เพิ่มขึ้นจากการออกสินค้าใหม่และทำการตลาดต่อเนื่อง สำหรับการส่งออกลดลงจากกลุ่ม CLMV ที่ยังมีสถานการณ์เศรษฐกิจไม่แน่นอน คาดอัตรามาร์จิ้นลดลงเล็กน้อยจากสัดส่วนรายได้รับจ้างส่งสินค้าประเภทเหล้า/เบียร์ที่อัตรามาร์จิ้นต่ำกว่าเพิ่มขึ้น
เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 72 บาท อ้างอิง PER-1.5SD เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีของ CBG ที่ 23X จากการแข่งขันของรายใหญ่ที่เริ่มรุนแรงมากขึ้น เราคาดการเติบโตของ CBG แบบอนุรักษนิยมเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 10% จากกลุ่มเครื่องดื่มพลังงานในประเทศที่ยังเป็นที่นิยมและธุรกิจรับจ้างส่งสินค้าประเภทเหล้า/เบียร์ที่เพิ่มขึ้น และแผนการบริหารต้นทุน ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายอยู่ PER25F ที่ 18.5X, Dividend Yield 25F ที่ 2.5% ความเสี่ยง : ยอดขายและต้นทุน commodities ที่ไม่เป็นตามคาด, ภาพรวมเศรษฐกิจ
ด้าน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินแนวโน้มกำไรปกติของ CBG ไตรมาส 3/68 จะเติบโตได้ต่อ YoY และทรงตัว QoQ แม้ยอดขายธุรกิจต่างประเทศคาดวจะได้รับผลกระทบจากสถานการรณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา และปัจจัยด้านเศรษฐกิจในกัมพูชาที่ไม่สดใส เบื้องต้นคาดรายได้ในกัมพูชาจะชะลอลดลงราว 20% QoQ แต่จะชดเชยได้ด้วยรายได้ธุรกิจในประเทศที่คาดจะเร่งตัวขึ้นต่อตามทิศทางส่วนแบ่งการตลาด โดย ณ สิ้นเดือน มิ.ย. อยู่ที่ 26.5% ทำระดับสูงสุดใหม่ ขณะที่ GPM จะยังได้ประโยชน์จากแนวโน้มต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับลดลง
ขณะที่โรงงานในพม่าเริ่มผลิตและจำหน่ายแล้ว แต่ในช่วงแรกคาดยังไม่ได้หนุนรายได้ CLMV มากนัก เนื่องจากยังอยู่ในช่วง Ramp up การผลิต คาดยังต้องใช้เวลาอีกราว 1 ปี แต่ผลกระทบต่อ GPM จากค่าเสื่อมไม่เยอะ เนื่องจากเป็นเครื่องจักรเก่าที่มีอยู่แล้ว และไม่ได้ใช้เงินลงทุนสูง
เราคงมุมมองระมัดระวังต่อธุรกิจในกัมพูชา แม้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันจะเริ่มเห็นพัฒนาการเชิงบวกระหว่าง 2 ประเทศมากขึ้นหลังตกลงร่วมกันในการหยุดยิง อย่างไรก็ตาม เราคาดกระแสแบนสินค้าไทยในกลุ่มผู้บริโภคยังมีอยู่บ้าง และสินค้าที่มีคู่แข่งเป็นแบรนด์ท้องถิ่น ทำให้ความสามารถในการแข่งขันอาจลดลง และอาจกดดันแนวโน้มการเติบโตรายได้ต่างประเทศของ CBG
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนในการเร่งเปิดโรงงานในกัมพูชาในช่วงปลายไตรมาส 4/68 ลดผลกระทบด้านการขนส่งและด้านภาษีหนุนอัตรากำไรสุทธิ เรามองว่าธุรกิจในกัมพูชายังเป็นปัจจัยต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
เราปรับประมาณการกำไรปกติปี 68-69 ลงเล็กน้อยราว 4% เป็น 3,250 ล้านบาท (+14.3%) และ 3,504 ล้านบาท (+7.8%) ตามลำดับ จากการปรับลดสมมติฐานการเติบโตรายได้ธุรกิจในกลุ่ม CLMV เพื่อเพิ่มความระมัดระวัง และการปรับลด GPM ลงจากแนวโย้ม GPM ธุรกิจรับจ้างจัดจำหน่ายที่จะลดลงเนื่องจากบริษัทจะรับค่า Rebate จากการจัดจำหไน่ายธุรกิจสุราน้อยลง
ผลการปรับประมาณการลง และเราปรับไปใช้ราคาเหมาะสมในปี 2569 โดยเราปรับลด WACC ในการประเมินมูลค่าจาก 8.8% เป็น 8.5% และปรับ Terminal Growth ขึ้นเป็น 2.5% เพื่อสะท้อนแนวโน้มสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ดีขึ้น ช่วยคลายความกังวลหลักต่อราคาหุ้น ได้ราคาเหมาะสมใหม่ที่ 58.00 บาท เทียบเท่า PER ที่ 17.9 เท่า มี Upside gain ไม่มาก คงแนะนำ “Trading”
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 ก.ย. 68)