
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนเปิดเผยในการประชุมสุดยอดผู้นำด้านสภาพภูมิอากาศซึ่งจัดโดยอันโตนิโอ กูแตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) ในวันพุธ (24 ก.ย.) ว่า ภายในปี 2578 จีนมีแผนจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 7-10% จากระดับสูงสุด ก่อนการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศ COP30 ที่ประเทศบราซิลในเดือนพ.ย. พร้อมจวก “บางประเทศ” ที่เคลื่อนไหวต่อต้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดระดับโลก
ปธน.สียังเผยอีกว่า ภายใน 10 ปี จีนมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานลมและแสงอาทิตย์ขึ้นอีก 6 เท่าจากระดับในปี 2563 รวมถึงเพิ่มสัดส่วนการบริโภคเชื้อเพลิงที่ไม่ใช่ฟอสซิลในประเทศขึ้นอีกกว่า 30%
ขณะเดียวกัน เขาได้เรียกร้องบรรดาประเทศพัฒนาแล้วให้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศอย่างแข็งขัน โดยกล่าวพาดพิงถึงสหรัฐฯ แม้ไม่ได้ระบุชื่อว่า ได้ละทิ้งเป้าหมายของความตกลงปารีสด้านสภาพภูมิอากาศ
ปธน.สีกล่าวว่า “การเปลี่ยนแปลงสีเขียวและคาร์บอนต่ำเป็นกระแสหลักในยุคของเรา แม้ว่าบางประเทศจะสวนกระแสนี้ แต่ประชาคมโลกควรยึดมั่นในแนวทางที่ถูกต้อง ยึดมั่นในความเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ มุ่งมั่นดำเนินการอย่างแน่วแน่ และใช้ความพยายามอย่างเต็มที่” พร้อมเรียกร้องให้เพิ่มความร่วมมือด้านสภาพภูมิอากาศทั่วโลก
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ กล่าวสุนทรพจน์เพื่อโจมตีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศว่าเป็น “เรื่องโกหก” ต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่ง UN เมื่อวันอังคาร (23 ก.ย.) และวิพากษ์วิจารณ์ประเทศสมาชิก EU และจีนที่นำเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนมาใช้
ทรัมป์สั่งการให้สหรัฐฯ ถอนตัวจากความตกลงปารีสว่าด้วยสภาพภูมิอากาศที่มีมายาวนานนับ 10 ปีเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นข้อตกลงที่มีเป้าหมายเพื่อป้องกันไม่ให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสผ่านแผนสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ โดยสหรัฐฯ เป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลกในอดีต และเป็นอันดับสองของโลกในปัจจุบัน รองจากจีน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ก.ย. 68)