“จิราพร” ซัด MOA พิสดารคลอดรัฐบาลอนุทิน-ไม่จริงใจแก้ รธน. จี้สัมพันธ์ผู้นำเขมรหวังล้มรัฐบาลเพื่อไทย

การประชุมรัฐสภาในวาระแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ต่อเนื่องเป็นวันที่สอง น.ส. จิราพร สินธุไพร สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า คำแถลงนโยบายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ระบุว่ารัฐบาลชุดนี้ถือเป็น “รัฐบาลพิเศษ” ที่เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ไม่ปกติ หลังพรรคภูมิใจไทยถอนตัวจากรัฐบาลเดิม อันเนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ก่อนตัดสินให้พ้นตำแหน่งในวันที่ 29 ส.ค.68 ซึ่งทั้งหมดสอดคล้องกับคำประกาศของผู้นำประเทศเพื่อนบ้านว่าจะมีการเปลี่ยนรัฐบาลใน 3 เดือน

โดย น.ส.จิราพร ได้ตั้งคำถามว่า MOA จัดตั้งรัฐบาล อาจไม่ใช่ข้อตกลงจริงทั้งหมด แต่เป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น รัฐบาลนี้เกิดจาก MOA แต่กลับไม่เคารพ MOA

“วันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี คะแนนที่ได้เกินกว่าที่คำนวณกันไว้ แถมยังมี สส. หลายกลุ่ม ประกาศย้ายเข้าพรรคภูมิใจไทย อย่างเปิดเผย นี่เท่ากับว่าข้อตกลงที่ห้ามแปลงร่างเป็นเสียงข้างมาก ถูกฉีกตั้งแต่วันแรกที่รัฐบาลลืมตาขึ้นมา” สส.เพื่อไทย ระบุ

น.ส.จิราพร กล่าวว่า หากเปรียบเทียบกับรัฐบาลเฉพาะกิจ ของนายอานันท์ ปันยารชุน เมื่อปี 2535 ที่แถลงนโยบายเพียง 1 หน้า เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน แต่รัฐบาลอนุทิน กลับแถลงนโยบายถึง 7 หน้า เต็มไปด้วยนโยบายยาวเหยียดโดยไม่เอา MOA มาประกาศต่อสภา พูดถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงแค่ 3 บรรทัดเศษ ทั้งที่เรื่องนี้นคือภารกิจใหญ่ที่สุดใน MOA แต่กลับถูกลดทอนจนแทบไร้น้ำหนัก ภาพที่ปรากฏต่อประชาชนจึงสะท้อนความจริงใจของรัฐบาลว่ามีเพียงน้อยนิด รัฐบาลนี้อาจไม่คิดทำตามข้อตกลงเลยตั้งแต่ต้น หากนายกฯ อนุทิน จริงใจที่จะแก้รัฐธรรมนูญจริง ขอให้ท่านเชิญชวน สว. ขึ้นมาให้สัญญาเลยว่าจะแก้รัฐธรรมนูญ

ขณะที่ประเด็นคดีความต่าง ๆ นั้น ประชาชนอยากรู้ท่าทีรัฐบาลต่อคดีเขากระโดง และคดีฮั้วเลือก สว. ที่เกี่ยวพันกับตัวนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี แต่สิ่งที่สังคมได้ยินคือเพียงคำว่า “ถูกกลั่นแกล้ง” จนกลายเป็นการส่งสัญญาณกดดันข้าราชการผู้ทำคดี ขัดกับคำประกาศว่าจะยึดหลักนิติธรรม

“MOA ไม่ได้สร้างประชาธิปไตย แต่เป็นการต่ออายุฝ่ายอนุรักษ์นิยม MOA ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเดินเข้าใกล้ช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูประชาธิปไตย แต่กลับเป็นการชุบชีวิตฝ่ายอนุรักษ์นิยม และอำนาจพิเศษให้กลับมามีอาวุธครบมือ นี่คือการฟื้นคืนชีพของอำนาจที่ประชาชนเคยต่อสู้มาก่อน 4 เดือนต่อจากนี้ พรรคเพื่อไทยจะทำให้เป็น 4 เดือนแห่งการตรวจสอบอย่างเข้มข้นที่สุด ใช้ทุกกลไกของรัฐสภาที่มี ไม่เว้นแม้แต่การตรวจสอบองค์ประชุม เพื่อให้พี่น้องประชาชนเห็นชัดว่า รัฐบาลแบบนี้ สมควรหรือไม่ที่จะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต่อไปอีก 4 ปี” น.ส.จิราพร ระบุ

 

จากนั้นนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้ลุกขึ้นชี้แจงกรณีตั้งข้อสังเกตเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวของตน กับผู้นำประเทศกัมพูชานั้น ขอยืนยันว่าไม่เคยมีสัมพันธ์ส่วนตัวแต่อย่างใด ตนได้เคยพบกับผู้นำกัมพูชาครั้งแรกอย่างเป็นทางการ เมื่อครั้งติดตาม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกฯ ไปเยือนกัมพูชาเมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา

“ที่บอกว่ามีการตกลงอะไรเบื้องหลังมาก่อน ผมยืนยันไม่มี เต็มที่ที่ผมมี คือเพื่อนที่รู้จักกัน ไม่มีผู้มีอำนาจอะไรในรัฐบาลแห่งนั้น ไม่มีลุง มีแต่เพื่อน ไม่พูดถึงแม้แต่การบริหารราชการแผ่นดิน หรือเสนอแนะอะไรที่ใช้สัมพันธ์ส่วนตัว ผมรู้สึกตกใจว่า เมื่อผมกลับมาแล้ว จากการติดตามน.ส.แพทองธาร เยือนกัมพูชา เพื่อน ๆ ของผมที่รู้จักกันโทรศัพท์บอกว่า รู้ไหมที่เขาไม่ให้คุณเข้าไปในที่ประชุมหลายที่ เพราะเขาไปแจ้งผู้นำของเขาว่าไม่ต้องคุยอะไรกับเขามากหรอก เพราะจะปลดจาก มท.1 อยู่แล้ว แต่ผมไม่ได้อะไร เพราะข้อมูลที่ผมจะเชื่อ ต้องได้รับแจ้งจากนายกฯ ของผมในเวลานั้น แต่ในที่สุด ผมได้รับการแจ้งเมื่อ 17 มิ.ย.” นายอนุทิน กล่าว

พร้อมชี้แจงต่อว่า ได้รับการแจ้งอย่างเป็นทางการว่า พรรคเพื่อไทย ต้องการกระทรวงมหาดไทยคืน และขอให้ตนไปเป็น รมว.สาธารณสุข ตนแจ้งกลับไปว่า เปรียบเสมือนเป็นข้อเสนอที่ต้องการให้ตนปฏิเสธ ให้บอกตรง ๆ เลยว่าจะให้ออกจากรัฐบาลดีกว่า แต่อดีตนายกฯ รักษามารยาทมาก บอกว่าอยากให้อยู่ต่อ แต่ไม่ให้อยู่กระทรวงมหาดไทย ซึ่งตนถามว่า ทำไมถึงให้ไปอยู่กระทรวงสาธารณสุข ตนทำผิดอะไร ทั้งนี้ตนเป็นรัฐมนตรีคนเดียวใน ครม. ของน.ส.แพทองธาร ที่ยืนคียงข้างในทุกขณะ ไม่ว่าจะเป็นวันดีหรือวันร้าย ปกป้อง ให้ข้อเท็จจริง

“เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา พ่อของผมอยู่มหาดไทย ยังแพ้พรรคเพื่อไทยราบคาบ แต่ไม่มีคำตอบ แต่พูดว่าเขาจะเอามหาดไทยคืน แต่ผมเชื่อว่า น.ส.แพทองธาร ไม่ได้พูดจากความตองการในใจของตัวเอง ต้องมีคนบอกให้พูด เพราะในที่สุด เลขาธิการนายกฯ ของท่าน ยืนยันว่าไพ่ใบสุดท้าย คุณไปอยู่กระทรวงสาธารณสุข” นายอนุทิน ชี้แจง

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างนั้น น.ส.จิราพร ลุกประท้วงนายกรัฐมนตรี พร้อมบอกว่า นายกฯ เล่าซีนดราม่ากับบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในห้องประชุมที่ไม่มีโอกาสชี้แจงว่าข้อมูลแท้จริงหรือไม่ จนทำให้นายอนุทิน พูดสวนขึ้นว่า “อย่ามาบอกว่าเป็นดราม่า เพราะเป็นข้อเท็จจริง ผมอยู่ตรงนั้นเอามายืนยันตรงนี้เลยก็ได้ ท่านไม่อยู่ตรงนั้น ไม่ได้เกี่ยว หรือมีส่วนร่วมตรงนั้น จะบอกว่าดราม่าได้อย่างไร” ก่อนที่นายมงคล สุระสัจจะ ซึ่งทำหน้าที่ประธานฯ ในขณะนั้น ได้วินิจฉัยให้นายกรัฐมนตรีอภิปรายต่อ

นายอนุทิน ได้อภิปรายต่อว่า สุดท้ายผมได้รับการยืนยันจาก เลขาธิการนายกฯ ของน.ส.แพทองธาร ที่มาหาตนถึงกระทรวงมหาดไทย และเป็นวันเดียวกันที่ตนฝากไปบอกอดีตนายกฯ พรรคภูมิใจไทยขอถอนตัว จากวันนั้นเป็นต้นมา บังเอิญที่มีเรื่องคลิปเสียงอังเคิล ทำให้มีความมั่นใจต่อการตัดสินใจถอนตัวของพรรคภูมิใจไทย ไม่ใช่เฉพาะเชิญออกกจากรัฐบาล แต่มีเรื่องที่เสียหายต่อบ้านเมือง รัฐบาลขาดความชอบธรรมต่อการบริหารประเทศ

“เมื่อถอนตัวแล้วมีเหตุอะไรพิสดาร ผมได้รายงานตัวมาทำงานกับพรรคฝ่ายค้าน และได้หารือว่าดีที่สุดพยายามให้ยุบสภาดีกว่า แต่เมื่อน.ส.แพทองธาร ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ จึงต้องหาทางออก คืนอำนาจให้ประชาชน จึงเป็นที่มาของการตกลงกันทางการเมืองระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน ซึ่งข้อตกลงทางการเมืองดังกล่าว ไม่ใช่ข้อตกลงของรัฐบาล แต่เมื่อพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำรัฐบาลจะรักษาสัญญา ไม่เกิน 31 ม.ค.69 จะยุบสภา วันที่ 14-15 ต.ค.นี้ พรรคภูมิใจไทยเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ผมไม่สามารถชี้นำ หรือโน้มน้าว สว.ให้ร่วมแก้รัฐธรรมนูญได้ เพราะจะผิดรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ดี เรื่องนี้เป็นเรื่องประชาธิปไตยใครเห็นด้วยก็แก้ ไม่เห็นด้วยไม่ต้องแก้” นายอนุทิน ชี้แจง

ทั้งนี้ เมื่อถอนตัวออกมาในสัปดาห์ถัดไป ตนก็มาทำหน้าที่ฝ่ายค้านร่วมกับพรรคประชาชน พร้อมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOA) ร่วมกัน ซึ่งเห็นว่า เป็นเงื่อนไขที่มีทางออกและเดินหน้าประเทศต่อไปได้ โดยมีเป้าหมายชัดเจนเพียง 2 ข้อ คือ การเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ การยุบสภาภายใน 4 เดือน ที่ยืนยันว่าจะไม่เกิน 31 ม.ค. 69 ซึ่งตนให้คำมั่นว่าจะดำเนินการตามสัญญาแน่นอน แต่ MOA ไม่สามารถนำมาบังคับการบริหารราชการแผ่นดินได้ เพราะไม่ได้มีผลผูกพันรัฐบาล และยอมรับว่าพรรคภูมิใจไทยมีสส. เพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดศรีสะเกษ

ส่วนการตั้งข้อสังเกตว่าจะใช้อำนาจล้มคดีที่ดินเขากระโดงนั้น นายอนุทินได้ให้คำมั่นสัญญาว่า จะไม่ใช้อำนาจหน้าที่แทรกแซงคดีฮั้ว สว. และคดีเขากระโดงอย่างแน่นอน

“ขอให้จำไว้ด้วยว่า ผมไม่มีวันใช้อำนาจหน้าที่ รมว.มหาดไทย หรือ ตำแหน่งนายกฯ ที่กำกับดูแลทุกกระทรวงในรัฐบาลนี้ ไปให้ช่วยเหลือใครก็ตามที่ทำผิดกฎหมาย พวกท่านก็ช่วยไม่ได้ พวกผมยิ่งไม่ช่วย” นายกรัฐมนตรี ชี้แจง

นายอนุทิน ยังเรียกร้องให้ น.ส.จิราพร ถอนคำพูด หลังระบุว่าเป็นผู้ต้องหาคดี ฮั้วสว. ว่า ตนไม่ใช่ผู้ถูกกล่าวหา หรือผู้ต้องหาของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยขอเรียกอธิบดีดีเอสไอ มาตรงนี้ และให้ถามเองว่าตนเป็นผู้ต้องหาหรือไม่ กล้าหรือไม่ หากผมไม่ใช่ผู้ต้องหา ต้องแถลงให้ด้วย ทั้งนี้ตนเป็นเพียงผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาเท่านั้น

“ขณะนี้ ได้ตั้งทนายความศึกษาและต่อสู้คดี ที่บอกว่าผม และสว.เป็นผู้ต้องหา ซึ่งเป็นคำพูดที่ผิด เท่าที่ติดตาม ไม่มีสว.เป็นผู้ต้องหาแม้แต่รายเดียว” นายอนุทิน กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ก.ย. 68)