
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า เมื่อเร็วๆนี้ CGSI ได้พาลูกค้าสถาบันในประเทศไปพบกับฝ่ายบริหาร สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เพื่อรับฟังข้อมูลเรื่องระบบประกันสังคมของไทยและโรงพยาบาลเอกชน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สปส.ปรับอัตราการเบิกจ่ายค่าบริการทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยในด้วยโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง หรือมีค่าน้ำหนักสัมพัทธ์ปรับตามวันนอน (Adj.RW) มากกว่าสอง ส่งผลกระทบเชิงลบต่อโรงพยาบาลเอกชน
ดังนั้น ลูกค้าสถาบันของ CGSI บางราย จึงกังวลผลกระทบจากการปรับอัตราค่าบริการทางการแพทย์ต่อโรงพยาบาลเอกชนของไทยที่ให้การรักษาผู้ป่วยประกันสังคม
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองเห็นความเสี่ยงที่ สปส.อาจไม่สามารถจ่ายค่าบริการทางแพทย์เต็มจำนวนให้กับโรงพยาบาลสำหรับการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (Adj.RW > 2) ในปี 69 เนื่องจากคณะรัฐมนตรีน่าจะไม่อนุมัติข้อเสนอของ สปส.ที่ให้ปรับเพิ่มเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมในอนาคตอันใกล้ เพราะเศรษฐกิจไทยยังอ่อนตัว ดังนั้น หากเงินสมทบไม่เพิ่มขึ้น เชื่อว่าการที่ สปส.จะปรับขึ้นอัตราค่าบริการทางการแพทย์ให้แก่โรงพยาบาลน่าจะทำได้ยาก
นอกจากนี้ สปส. ยังเพิ่มความเข้มงวดการอนุมัติรักษาโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง เช่น การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร และการรักษาโรคมะเร็ง เพื่อป้องกันไม่ให้โรงพยาบาลใช้ประโยชน์จากระบบในทางที่ไม่เหมาะสม
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองว่า BCH และ CHG อ่อนไหวต่อรายได้จากผู้ป่วยในโครงการประกันสังคมมากสุด โดยทั้งสองแห่ง มีรายได้จากผู้ป่วยในโครงการประกันสังคมคิดเป็น 37% และ 28% ของรายได้รวมในไตรมาส 2/68 ตามลำดับ ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยประกันสังคมที่ 20% ของ RAM และเพียง 2% ของ BDMS ในครึ่งปีแรก 68 แล้ว จึงเชื่อว่า BCH และ CHG มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าบริการทางการแพทย์ของสปส.มากกว่า
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า กลุ่มโรงพยาบาลไทยมีการประเมินมูลค่าลดลงจาก P/E ล่วงหน้า 12 เดือนที่ 24 เท่าในสิ้นปี 67 เหลือ 19 เท่าในวันที่ 25 ก.ย. 68 ซึ่งสะท้อนความกังวลในหลายประเด็น เช่น การที่ผู้ป่วยจากตะวันออกกลางและกัมพูชาใช้บริการน้อยลง, จำนวนนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ลดลง และการปรับลดค่าบริการทางการแพทย์สำหรับการรักษาโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (Adj.RW > 2)
โดยมองว่ากลุ่มโรงพยาบาลจะมี downside risk หากสปส.ปรับลดค่าบริการทางการแพทย์ของผู้ป่วยในด้วยโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงและผู้ป่วยชาวไทยเข้ามาใช้บริการน้อยลง เพราะหันไปใช้บริการสถานพยาบาลที่มีค่ารักษาถูกกว่าในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ upside risk จะมาจากการปรับขึ้นอัตราค่าบริการทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยประกันสังคมและการที่จำนวนผู้ป่วยชาวต่างชาติฟื้นตัว
ฝ่ายวิเคราะห์ฯมองว่า กลุ่มโรงแพยาบาลยังมีการประเมินมูลค่าน่าสนใจเพราะซื้อขายที่ -1SD จากค่าเฉลี่ย 10 ปี โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มนี้ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมือง ดังนั้น จึงแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน (Overweight) โดยเลือก PR9 และ BDMS เป็นหุ้น Top pick เนื่องจาก PR9 ไม่ได้รับผู้ป่วยประกันสังคม ส่วน BDMS มีรายได้จากผู้ป่วยประกันสังคมเพียง 2% ในครึ่งปีแรก 68
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ก.ย. 68)