
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (2 ต.ค.) เทสลา (Tesla) ได้ประกาศยอดส่งมอบรถยนต์ในไตรมาสล่าสุดที่สูงเป็นประวัติการณ์ แต่ราคาหุ้นกลับปรับตัวลดลงสวนทาง เพราะนักลงทุนกังวลว่ายอดขายจะชะลอตัวลง หลังจากมาตรการลดหย่อนภาษีรถยนต์ไฟฟ้าครั้งใหญ่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้สิ้นสุดลง ซึ่งก่อนหน้านี้ เทสลาได้ออกแคมเปญลดราคาและข้อเสนอทางการเงินต่าง ๆ เพื่อเร่งยอดขายให้ทันก่อนที่สิทธิ์ลดหย่อนภาษีมูลค่า 7,500 ดอลลาร์จะหมดอายุ
ในไตรมาส 3/2568 สิ้นสุดเดือนก.ย. เทสลาส่งมอบรถยนต์ได้ทั้งหมด 497,099 คัน เพิ่มขึ้น 7.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าที่วอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ที่ 443,919 คันมาก โดยส่วนใหญ่เป็นรถรุ่น Model 3 และ Model Y รวมกัน 481,166 คัน อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นของเทสลากลับปิดตลาดร่วงลง 5.11%
นักวิเคราะห์มองว่า ยอดขายที่พุ่งสูงขึ้นเป็นผลมาจากอุปสงค์ที่ถูกดึงมาใช้ล่วงหน้า (pulled-forward demand) หรือก็คือการที่ลูกค้าเร่งรีบซื้อรถเพื่อรับสิทธิ์ลดหย่อนภาษี ซึ่งยอดขายระดับนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง และยอดขายอาจซบเซาลงในอีก 2-3 ไตรมาสข้างหน้า
หากแยกตามภูมิภาค ยอดขายเทสลาในจีนยังคงแข็งแกร่ง โดยมี Model Y รุ่นปรับโฉมใหม่เป็นปัจจัยหนุนสำคัญ แต่ตลาดยุโรปยังคงน่าเป็นห่วง โดยในเดือนส.ค. ยอดขายของเทสลาลดลงถึง 22.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาดหดตัวเหลือเพียง 1.5% ตามข้อมูลของสมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งยุโรป
นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่า เทสลาจะรับมือกับยอดขายที่อาจชะลอตัวลงได้ดีเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการบุกตลาดรถยนต์ที่มีราคาถูกลง โดยโจทย์ใหญ่ในตอนนี้คือจะทำอย่างไรกับยอดขายที่อาจแผ่วลง ซึ่งรถยนต์รุ่นใหม่ที่ราคาเข้าถึงง่ายขึ้นจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยรักษากระแสความนิยมของแบรนด์ต่อไป
อนึ่ง เทสลามีกำหนดรายงานผลประกอบการฉบับเต็มของไตรมาสนี้ในวันที่ 22 ต.ค.
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ต.ค. 68)