
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ปรับประมาณการ GDP ปี 68 เพิ่มเป็น 2.0% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 1.7% หลังปรับเพิ่มเป้าส่งออกเป็น 6.1% การลงทุนภาคเอกชน ปรับเพิ่มเป็น 1.1% จากเดิมคาดหดตัว-1.2% และการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนปรับเพิ่มเป็น 2.8% จากผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภคในช่วงปลายปี
อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบ คือ ภาคการท่องเที่ยวชะลอตัวลง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับลดจาก 36 ล้านคน เหลือ 33 ล้านคน ส่งผลให้รายได้จากนักท่องเที่ยวลดลงจาก 1.69 ล้านล้านบาท เหลือ 1.55 ล้านล้านบาท
ขณะเดียวกัน ยังมีความไม่แน่นอนที่ส่งผลต่อประมาณการ คือความเสี่ยงจากภาษี Transshipment การปรับเพิ่มสัดส่วน Local Content เป็น 50-60% อาจทำให้ GDP ลดลงจากกรณีฐาน 0.05-0.10%, ความไม่แน่นอนจากรัฐบาลเสียงข้างน้อย: ข้อตกลงยุบสภาภายใน 4 เดือน สร้างความไม่แน่นอนต่อการลงทุนและความเชื่อมั่น ซึ่งหากรัฐบาลขาดเสถียรภาพ อาจทำให้ GDP ลดลงจากกรณีฐาน 0.75-0.90% และความผันผวนของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ หากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงกว่าหรือต่ำกว่ากรณีฐาน 1 ล้านคน จะส่งผลทำให้ GDP เพิ่มขึ้นหรือลดลง 0.25% เมื่อเทียบกับกรณีฐาน
นายวิเชียร แก้วสมบัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า เหตุผลสำคัญในการปรับเพิ่มประมาณการ GDP ปีนี้เป็น 2.0% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 68 ขยายตัวได้ 3.0% แข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยได้แรงหนุนจากการส่งออกที่เติบโตเกินคาดถึง 15% ขณะเดียวกันการลงทุนภาคเอกชนกลับมาขยายตัวได้ 4.1% ในไตรมาส 2/68 หลังจากที่หดตัวต่อเนื่องกันมา 4 ไตรมาส
ลุ้น “คนละครึ่งพลัส-ส่งออก” ดัน GDP ทั้งปีโตกว่าเป้า
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ ยังมีโอกาสที่จะขยายตัวได้มากกว่า 2% โดยมีโอกาสจะเติบโตได้ 2.0-2.5% โดยต้องรอติดตามผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในโครงการ “คนละครึ่งพลัส” และการเติมเงินเพิ่มในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมถึงติดตามว่าการส่งออกตลอดทั้งปีจะยังโดดเด่นหรือไม่ และแผนกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมสัมนาในเมืองรอง
นอกจากนี้ ยังเห็นด้วยกับแนวคิดในเรื่องการแก้หนี้ครัวเรือน โดยกลไกของการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ซึ่งจะเป็นการดึง NPL ออกจากระบบ และยังเพิ่มโอกาสให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อแก่ภาคธุรกิจได้ง่ายขึ้น ซึ่งหากรัฐบาลขยายแนวคิดในการซื้อหนี้ของ SME ด้วยโดยให้ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ (SFI) เป็นหัวหอกในการริเริ่ม ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้มากกว่า 2%
“เรามองว่ามีโอกาสถึง 85% ที่จะเป็น upside ทำให้มีโอกาสเห็น GDP ปีนี้ โตได้เกินกว่า 2% ในช่วง 2.0-2.5%” นายธนวรรธน์ ระบุ
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 69 ขณะนี้ยังมองภาพได้ไม่ชัดเจนนัก แต่เบื้องต้น คาดว่าจะเติบโตได้ 2.0-2.5% ทั้งนี้ ต้องขอประเมินผลภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4/68 ก่อน ว่าการใช้มาตรการ “คนละครึ่งพลัส” จะช่วยกระตุกเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ปีนี้ได้มากน้อยเพียงใด
ส่วนกรณีที่ธนาคารโลก (World Bank) ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้ จะเติบโตได้ 2% ซึ่งเป็นการเติบโตน้อยที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียนนั้น นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ประเทศไทยมีภาพจำของการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำมาตั้งแต่ช่วงโควิด นอกจากนี้ ยังมีภาพของเงินเฟ้อติดลบ ซึ่งเป็นการติดกับดักการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้มีการมองภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในระยะยาวที่ไม่โดดเด่น
ดังนั้น รัฐบาลต้องวางรากฐานประเทศด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อทำให้ GDP ขยายตัวได้เกินกว่า 4% เพื่อให้ประเทศไทยเป็นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน และดึงการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI) ให้เข้ามา
“แต่ในระยะสั้น รัฐบาลต้องทำให้ตอบโจทย์ 3 ประการ คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว, การแก้หนี้ครัวเรือน และการดูแลค่าครองชีพประชาชน…ถ้าเงินในกระเป๋าตังค์ของประชาชนตุง ประชาชนจะชื่นชอบ รัฐบาลก็จะมีเสถียรภาพ ยุคนี้เศรษฐกิจนำการเมือง หากเศรษฐกิจฟื้นตัวชัด ประชาชนหนี้ลด รัฐบาลก็จะมีคะแนนนิยมสูง” นายธนวรรธน์ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ต.ค. 68)