นายกฯ ลั่น reset โครงสร้างประเทศทั้ง 3 มิติ พาไทยทวงคืนแชมป์อาเซียน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นประธานเปิดงานสัมมนาใหญ่เศรษฐกิจไทย ประจำปี 2568 และกล่าวปาฐกถาพิเศษ “Reset โครงสร้างประเทศ Recover เศรษฐกิจไทย” จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ร่วมกับ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยมีผู้บริหารระดับสูงขององค์กรภาครัฐ และเอกชนเข้าร่วมงานจำนวนมาก

นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลได่ขอแรงภาคเอกชน ช่วยกันรีเซตโครงสร้างประเทศไทยใหม่ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยกลับมาเป็นประเทศผู้นำทางด้านเศรษฐกิจของอาเซียนให้ได้ โดยส่วนตัวมีความเชื่อมั่นว่า ด้วยพื้นฐานที่ดีของระบบเศรษฐกิจไทย โครงสร้างอุตสาหกรรมการผลิต เกษตรกรรม รวมทั้งการมีพื้นที่อยู่ตรงจุดศูนย์กลางของภูมิภาคที่มีความได้เปรียบกว่าหลายประเทศ จะทำให้ประเทศไทยกลับมาเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจในภูมิภาคได้

“ตอนนี้เราตามเวียดนามแล้ว นี่เป็นฝันร้าย เพราะไม่เคยคิดว่าวันหนึ่ง ประเทศไทยจะต้องมีเศรษฐกิจที่เติบโตช้ากว่าประเทศในภูมิภาค ดังนั้น เราจึงต้องช่วยกันรีเซต โดยอาศัยจากสิ่งที่เรามีโครงสร้างที่ดีอยู่แล้ว กระโดดขึ้นมาทวงความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้กลับคืนโดยเร็ว ซึ่งมั่นใจว่าเรายังสามารถที่จะกลับมาได้” นายอนุทิน กล่าว

พร้อมระบุว่า ขณะนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดช่วงหนึ่งของประเทศ หลังจากประชาชนกำลังตั้งคำถามว่าประเทศไทยจะไปทางไหนต่อ จะรอดหรือไม่จากสงครามทางการค้าที่เกิดขึ้น และปีหน้าจะเกิดวิกฤตอะไรขึ้นอีก จะมีการเลือกตั้งหรือไม่ ซึ่งตนเองยืนยันได้ว่า จะมีการเลือกตั้งแน่นอน เพราะต้องมีการยุบสภา

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบัน ทุกประเทศกำลังเผชิญกับสงครามความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคอุบัติใหม่ การเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรม ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมหาศาลต่ออนาคต รวมถึงการปฏิวัติเทคโนโลยีที่เรียกว่า AI ที่กำลังเปลี่ยนรูปแบบเศรษฐกิจของโลก ทำให้ประเทศที่ปรับตัวช้า ไม่เพียงแต่สูญเสียทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังสูญเสียอำนาจต่อรองในเวทีโลกด้วย

ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมาคุยถึงเรื่องการรีเซ็ตโครงสร้างประเทศใหม่ เพื่อปรับระบบเดิมที่ไม่ตอบโจทย์อนาคต และวางรากฐานใหม่เพื่อให้ประเทศไทยก้าวต่อไป โดยรักษาสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม รวมไปถึงการต่างประเทศ โดยต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านนโยบาย เปลี่ยนวิธีคิด วิธีการทำงาน และวิธีบริหารความร่วมมือเข้าด้วยกัน

ด้านแรก รีเซ็ตด้านความมั่นคง สร้างความมั่นคงของประเทศ ทั้งภายนอก และภายใน ล่าสุด รัฐบาลกำลังแก้ปัญหาความมั่นคงตามแนวชายแดน โดยใช้ทั้งการทูต ทหาร และพลังทางเศรษฐกิจ เพื่อนำสันติภาพกลับคืนสู่ชีวิตประชาชน เปลี่ยนความตึงเครียดให้กลับมาเป็นความร่วมมือในอนาคต พร้อมกับจัดการกับปัญหาภัยสังคมที่กัดกร่อนประเทศควบคู่กันไปด้วย พร้อมปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นต้นทุนแฝงอยู่ในระบบเศรษฐกิจของประเทศ

ต่อมาคือ รีเซ็ตเศรษฐกิจ รัฐบาลมุ่งเน้นการสร้างรายได้ ลดรายจ่าย ลดหนี้ และส่งเสริมภาคเกษตรกร สนับสนุนให้ธุรกิจเอสเอ็มอีฟื้นตัว พร้อมกับเร่งมาตรการลดค่าครองชีพ ลดค่าพลังงาน ลดค่าขนส่ง เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสินค้าที่จำเป็นในราคาที่เป็นธรรม พร้อมเสริมความมั่นคงทางการเกษตร และพลังงานด้วยแนวทาง Smart farming การสนับสนุนพลังงานแสงอาทิตย์ภาคครัวเรือน และภาคการเกษตร และการควบคุมราคาสินค้าทางการเกษตรให้มีความเหมาะสม

นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลได้ออกโครงการ “คนละครึ่งพลัส” และเติมเงินเพิ่มในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจะอัดฉีดวงเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจกว่า 100,000 ล้านบาท ตามนโยบายเศรษฐกิจเฉพาะกิจ เน้นการกระตุ้นระยะสั้น ได้ผลระยะยาว และเกิดการกระจายตัว รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมรับสังคมสูงวัย ซึ่งรัฐบาลได้จัดให้มีระบบด้านการสาธารณสุข เพื่อการดูแลสุขภาพให้ได้ทุกช่วงวัย และมีการออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวกไว้รองรับคนทั้งมวลด้วย

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง การเกษียณอายุราชการ ว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังพิจารณาแนวทางการปรับการเกษียณอายุราชการ โดยหารือกับนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งดูแลทางด้านกฎหมาย เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ถึงแนวทางการดำเนินการดังกล่าว คาดว่า เร็ว ๆ นี้จะได้ข้อสรุป

“ขณะนี้ ได้พูดถึงเรื่องความเป็นไปได้ในการปรับอายุการเกษียณราชการไว้กับรองนายกฯ บวรศักดิ์แล้ว” นายกฯ กล่าว

สุดท้าย คือ การรีเซ็ทด้านสิ่งแวดล้อม และดิจิทัล โดยรัฐบาลตั้งเป้าหมาย Net Zero การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ภายในปี 2050 รัฐบาลจะผลักดันพลังงานสะอาดในภาคอุตสาหกรรม และการเกษตร ให้ได้ตามเป้า เพื่อที่สินค้าของไทยจะได้รับการยอมรับในทุก ๆ ประเทศ ทำให้ไทยไม่เสียเปรียบทางการค้า และจะเร่งสร้างการเป็นรัฐบาลดิจิทัลเชื่อมโยงระบบทั้งประเทศ ผลพลอยได้คือความโปร่งใสการตรวจสอบได้อย่างเป็นระบบ และจะเป็นผลบวกต่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นด้วย

“ไม่มีรัฐบาลใดที่จะรีเซ็ทประเทศได้เพียงลำพัง แต่ต้องใช้พลังจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน แรงงาน และประชาชนทุกภาคส่วน รวมถึงสื่อสารมวลชน ประเทศไทยไม่ได้ขาดศักยภาพ แต่ขาดระบบที่จะเปิดให้ศักยภาพนั้นได้ทำงานเต็มที่ ผมอยากให้กลับมามองประเทศของเราด้วยสายตาที่เป็นมิตร ดีใจซึ่งกันและกัน มองกันตาปิ๊ง ๆ เราจะได้เห็นประเทศที่ไม่ใช่ประเทศไทยที่ต้องการฟื้นตัว แต่จะเป็นประเทศไทยที่พร้อมจะเติบโตอีกครั้งอย่างยั่งยืน ต้องแซงเพื่อนบ้านให้ได้ ต้องเป็นหนึ่งในภูมิภาคให้ได้ ไม่เกินความสามารถ ผมยืนยันด้วยความมั่นใจ ผมมั่นใจการเลือกตั้งครั้งหน้าของพรรคภูมิใจไทย และหวังเล็ก ๆ ว่าจะได้กลับมาร่วมงานนี้อีกครั้ง ในปีหน้า” นายอนุทิน กล่าวในท้ายสุด

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ต.ค. 68)