
วันนี้ (14 ต.ค.) ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ (Samsung Electronics) คาดการณ์ผลกำไรจากการดำเนินงานไตรมาส 3/2568 แตะ 12.1 ล้านล้านวอน สูงสุดในรอบกว่า 3 ปี โดยได้รับปัจจัยหนุนสำคัญจากอานิสงส์ของเทคโนโลยี AI ที่ทำให้ความต้องการชิปหน่วยความจำกลุ่มคอมโมดิตี้ (Commodity Memory) หรือชิปมาตรฐานทั่วไปสำหรับเซิร์ฟเวอร์นั้นพุ่งสูงขึ้น จนเกิดภาวะอุปทานตึงตัวและดันราคาให้ดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งช่วยชดเชยยอดขายชิป AI ประสิทธิภาพสูงที่ยังคงตามหลังคู่แข่ง
ซัมซุง ผู้ผลิตชิปหน่วยความจำรายใหญ่ที่สุดของโลกเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์กำไรจากการดำเนินงานสำหรับช่วงเดือนก.ค.-ก.ย. ไว้ที่ 12.1 ล้านล้านวอน (8.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเติบโตขึ้น 32% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 10.1 ล้านล้านวอน
นอกจากนี้ บริษัทคาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น 8.7% สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 86 ล้านล้านวอน โดยได้รับปัจจัยหนุนจากเงินวอนที่อ่อนค่าลง ทั้งนี้ ซัมซุงมีกำหนดจะเปิดเผยผลประกอบการฉบับเต็มในวันที่ 30 ต.ค. นี้
ข่าวดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นซัมซุงทะยานขึ้นทันที 2.9% สู่ระดับ 96,000 วอนต่อหุ้น ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2564 และส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแล้ว 79% ในปีนี้
รยู ย็อง-โฮ นักวิเคราะห์อาวุโสจาก NH Investment & Securities กล่าวว่า “ผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ออกมาดีเกินคาดนั้นมาจากธุรกิจชิปเป็นหลัก”
นักวิเคราะห์หลายสำนักมองตรงกันว่า แม้ความคืบหน้าในการส่งมอบชิปหน่วยความจำแบนด์วิดท์สูง (HBM) ให้กับลูกค้ารายใหญ่อย่างอินวิเดีย (Nvidia) จะล่าช้ากว่าที่คาด แต่กำไรมหาศาลจากกลุ่มชิปหน่วยความจำคอมโมดิตี้อย่าง DRAM และ NAND ได้เข้ามาช่วยพยุงผลประกอบการโดยรวมไว้
“ซัมซุงเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์รายใหญ่จากดีมานด์ชิปคอมโมดิตี้ที่กำลังเติบโต” ซน อิน-จุน นักวิเคราะห์จาก Heungkuk Securities กล่าว พร้อมเสริมว่า ปัจจัยสำคัญมาจากราคาชิปที่แข็งแกร่งกว่าคาด จากความต้องการเซิร์ฟเวอร์สำหรับศูนย์ข้อมูล AI ประกอบกับปริมาณสินค้าคงคลังของผู้ผลิตที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้มีอำนาจต่อรองด้านราคาสูงขึ้น
ขณะเดียวกัน หน่วยธุรกิจรับจ้างผลิตชิป (Foundry) ของซัมซุงยังมีผลขาดทุนลดลง เนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้นช่วยลดแรงกดดันด้านต้นทุนคงที่
นักวิเคราะห์ชี้ว่า การที่ผู้ผลิตชิปหน่วยความจำหันไปทุ่มเทการลงทุนและกำลังการผลิตให้กับชิป AI ประสิทธิภาพสูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการผลิตชิปกลุ่มคอมโมดิตี้ ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนอุปทานและกระตุ้นให้ราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ข้อมูลจาก TrendForce ระบุว่า ราคาชิป DRAM บางรุ่น ซึ่งใช้ในเซิร์ฟเวอร์ สมาร์ตโฟน และพีซี ได้พุ่งสูงขึ้นถึง 171.8% ในไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ด้านนักวิเคราะห์หลายสำนักคาดการณ์ว่าภาวะขาดแคลนนี้จะดำเนินต่อไปจนถึงปี 2569
แม้ซัมซุงจะเป็นผู้นำตลาดชิปหน่วยความจำมาตลอด 3 ทศวรรษ แต่กำลังเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดชิป AI ประสิทธิภาพสูง โดยได้สูญเสียส่วนแบ่งตลาด DRAM อันดับ 1 ให้กับคู่แข่งอย่างเอสเค ไฮนิกซ์ (SK Hynix) ไปในไตรมาสแรกของปีนี้
นักวิเคราะห์คาดว่า ยอดขายชิป HBM ของซัมซุงจะค่อย ๆ ฟื้นตัว หลังจากมีความคืบหน้าในการส่งมอบชิป HBM3E รุ่น 12-layer ล่าสุดให้กับอินวิเดียได้แล้ว อย่างไรก็ตาม ซัมซุงกำลังเดิมพันครั้งใหญ่กับชิป HBM4 รุ่นถัดไปเพื่อไล่ตามเอสเค ไฮนิกซ์ ให้ทัน โดยรายงานจากมอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) ระบุว่า การพัฒนา HBM4 เป็นไปตามแผนและทำงานร่วมกับลูกค้ารายใหญ่ในสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด คาดว่าจะเริ่มจัดส่งเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2569
อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ทั้งจากความเสี่ยงเรื่องกำแพงภาษีของสหรัฐฯ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ทวีความรุนแรง และการควบคุมการส่งออกแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth) ของจีน ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตชิป
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ต.ค. 68)