PROEN ยกระดับมาตรฐานคลาวด์ติดตั้ง VCF9 รายแรกของไทยเสริมความมั่นคงทางข้อมูลตอบโจทย์เศรษฐกิจดิจิทัล

นายกิตติพันธ์ ศรีบัวเอี่ยม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โปรเอ็น คอร์ป [PROEN] เปิดเผยว่า บริษัทประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญ ขึ้นแท่นเป็นผู้ใช้งาน VMware Cloud Foundation 9 (VCF9) เทคโนโลยีแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ระดับโลกรายแรกในประเทศไทย

เทคโนโลยี VCF9 ถือเป็นเวอร์ชันล่าสุดที่ PROEN นำมาใช้ ได้รับการอัปเกรดครั้งใหญ่ที่เป็นรากฐานของระบบดิจิทัลยุคใหม่ เพื่อรองรับแนวคิดใหม่ที่ประเทศพัฒนาแล้วใช้ปกป้องข้อมูล โดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูลภาครัฐและภาคเอกชนมีความสำคัญเทียบเท่าสินทรัพย์แห่งชาติ นอกจากนี้ยังถูกนำไปใช้โดยองค์กรระดับโลก ทั้งภาคการเงิน การผลิต พลังงาน และเทคโนโลยี เช่น HSBC, JP Morgan, Siemens, Bosch, BMW และรัฐบาลยุโรปหลายประเทศ

“การเป็นผู้ใช้ VMware Cloud Foundation 9 รายแรกของประเทศไทย สะท้อนความมุ่งมั่นของ PROEN ในการผลักดันองค์กรไทยสู่ Hybrid Cloud และ Sovereign Cloud ที่ปลอดภัย ยืดหยุ่น และรองรับการประมวลผลสมัยใหม่ เช่น AI และ Kubernetes ระบบที่ใช้ควบคุมและจัดการคอนเทนเนอร์ ซึ่งเราตั้งเป้าที่จะเป็น Backbone ของโครงสร้างหลักที่ช่วยขับเคลื่อนระบบดิจิทัลของประเทศไทยในอนาคต” นายกิตติพันธ์กล่าว

นายกิตติพันธ์ กล่าวอีกว่า การตัดสินใจติดตั้ง VMware Cloud Foundation 9 ซึ่งเป็นระบบโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์รุ่นล่าสุดที่ตอบโจทย์องค์กรยุคใหม่ ด้วยคุณสมบัติเด่นหลายประการ เช่น รองรับทุกสภาพแวดล้อมการใช้งาน (Hybrid & Sovereign Cloud Ready) ที่สามารถทำงานได้ทั้งในระบบขององค์กรเอง คลาวด์ส่วนตัว คลาวด์สาธารณะ และคลาวด์ที่เน้นความปลอดภัยของข้อมูลภายในประเทศ พร้อมรองรับเทคโนโลยีใหม่ยุค AI และรองรับการประมวลผลด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI), การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) และระบบ Kubernetes รวมถึงแอปพลิเคชันยุคใหม่ที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง

นอกจากนี้ยังสามารถรวมศูนย์การจัดการในที่เดียว (Breaking Down Silos) ทั้ง Virtual Machines และ Containers ได้จากแพลตฟอร์มเดียว ช่วยลดความซับซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของฝ่ายไอที ปลอดภัยและได้มาตรฐานสากล (Security & Compliance) ระดับโลก เพื่อป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์และรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูล บริหารจัดการอัตโนมัติแบบอัจฉริยะ (Intelligent Lifecycle Management) โดยระบบสามารถอัพเดทและดูแลโครงสร้างพื้นฐานได้อัตโนมัติ ลดการหยุดชะงักของระบบ และช่วยให้การทำงานต่อเนื่องราบรื่น

เทคโนโลยีนี้จะช่วยให้องค์กรทำงานได้คล่องตัวมากขึ้น พร้อมรองรับอนาคตของระบบดิจิทัล รองรับการพัฒนาแอปพลิเคชันยุคใหม่ได้รวดเร็ว ด้วยระบบที่ทำให้นักพัฒนาสามารถสร้างและบริหารจัดการแอปพลิเคชันบนคลาวด์ (Cloud Native Applications) ได้ง่ายและรวดเร็ว เหมาะกับองค์กรที่ต้องการปรับตัวสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ รวมถึงการรองรับงานด้านข้อมูลและ AI ด้วยเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ รวมถึงงานด้าน AI (ปัญญาประดิษฐ์) และ Data Analytics ในอนาคต

นอกจากนี้ ยังสามารถสร้างคลาวด์ส่วนตัวแยกได้ตามหน่วยงาน ซึ่งหมายความว่าแต่ละหน่วยธุรกิจในองค์กรสามารถมี “คลาวด์ของตัวเอง” เพื่อใช้ทดสอบ พัฒนา หรือนำนวัตกรรมใหม่มาทดลองได้ โดยไม่กระทบต่อระบบหลักขององค์กร

นายกิตติพันธ์ กล่าวอีกว่า เทคโนโลยีข้างต้นจะส่งผลให้ PROEN สามารถให้บริการคลาวด์ได้หลายรูปแบบมากขึ้น และช่วยตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ตั้งแต่องค์กรขนาดใหญ่ หน่วยงานรัฐ ไปจนถึงภาคเอกชนทั่วไป คาดว่าจะส่งผลให้รายได้จากบริการคลาวด์และศูนย์ข้อมูล (Data Center) มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง

“VCF9 จะช่วยให้บริษัทขยายฐานลูกค้ากลุ่มองค์กรและภาครัฐ เพราะเป็นเทคโนโลยีที่มีมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง ตามแนวคิดและจุดแข็งที่ตรงกับนโยบายภาครัฐด้านความมั่นคงทางข้อมูล ทำให้เรามีโอกาสได้รับงานโครงการจากภาครัฐและองค์กรขนาดใหญ่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต” นายกิตติพันธ์ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ต.ค. 68)