ถกร่างรธน.วันแรก “ภท.-พท.-ปชน.” นำเสนอหลักการ เดินหน้าสู่ฉบับใหม่

ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาซึ่งมีนายมงคล สุรัจสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุมได้พิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เสนอโดย 3 พรรคการเมืองคือ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) พรรคประชาชน (ปชน.) และพรรคเพื่อไทย (พท.) ซึ่งมีเนื้อหาสำคัญ คือ การแก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 เพื่อให้มี สสร. มาจัดทำรัฐธรรมนูญ แต่ไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 แต่ที่มาและขั้นตอนการได้มาซึ่ง สสร. แต่ละพรรคมีความแตกต่างกัน

 

ภูมิใจไทย เสนอร่างแก้ไข รธน. ถอดโมเดลปี 40 ย้ำจุดยืนไม่แตะหมวด 1-2 ไม่ขัดคำวินิจฉัยศาล รธน.

นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ในฐานะผู้เสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ชี้แจงหลักการของร่างที่พรรคเสนอ โดยระบุว่าเป็นการแก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 ว่าด้วย “การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” เพื่อเปิดทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นจนถึงการให้ความเห็นชอบ พร้อมปรับขั้นตอนให้เหมาะสมกับโครงสร้างรัฐสภาและสถานการณ์ปัจจุบัน

ซึ่งพรรคภูมิใจไทยทำตามคำมั่นที่ให้ไว้กับประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาล ว่าจะผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นจริง โดยเฉพาะการปรับมาตรา 256 ซึ่งเป็น “กุญแจสำคัญ” ในการเปิดทางไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ยึดโยงกับประชาชน ทั้งนี้ยืนยันว่าพรรคไม่แตะต้อง หมวด 1 และ หมวด 2 ที่เกี่ยวกับรูปแบบการปกครองและสถาบันพระมหากษัตริย์

นายกรวีร์ กล่าวว่า ร่างของพรรคภูมิใจไทยเน้นความเรียบง่าย เข้าใจได้ ทำได้จริง โดยเสนอให้ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) 99 คน แบ่งเป็นผู้แทนจาก 77 จังหวัด และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย รัฐศาสตร์ และการเมืองรวม 22 คน เพื่อสะท้อนเสียงของประชาชนทั่วประเทศอย่างแท้จริง รวมถึงมีคณะกรรมการยกร่าง 45 คน ประกอบด้วยสมาชิก สสร. 30 คน และบุคคลภายนอก 15 คน เพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เสนอให้สภาผ่านความเห็นชอบก่อนนำไปทำประชามติ ซึ่งกระบวนการทั้งหมดจะโปร่งใสและอยู่ในกรอบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

พรรคภูมิใจไทยไม่ได้ขัดข้องต่อร่างของพรรคอื่นในหลักการ แต่มีความเห็นต่างใน “วิธีการ” โดยตั้งข้อสังเกตว่าร่างของพรรคเพื่อไทยอาจซับซ้อนเกินไป และสุ่มเสี่ยงต่อการถูกยื่นตีความว่าขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจทำให้กระบวนการทั้งหมดล้มเหลวและเสียเวลาเปล่า ส่วนร่างของพรรคประชาชนแม้มีเจตนาดี แต่ขาดความชัดเจน เพราะไม่มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ มีเพียงคณะกรรมการยกร่าง 35 คน และสภาที่ปรึกษา 100 คน ซึ่งอาจทำให้เกิดความสับสนและขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง

นายกรวีร์ ระบุว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่ควรนำไปสู่ความขัดแย้งรอบใหม่ แต่ต้องเป็น “จุดเริ่มต้นของความร่วมมือ” และเป็นกติกาที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ ไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมเตือนว่า “อย่าเพ้อฝันมากนัก” ควรมองโลกตามความเป็นจริง และเดินหน้าในแนวทางที่เป็นไปได้

 

*เพื่อไทย ชูการให้อำนาจสูงสุดอยู่ที่รัฐสภา

นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ชี้แจงหลักการร่างที่เสนอโดยพรรคเพื่อไทยว่า การผลักดันให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นเงื่อนไขสำคัญที่เกิดจากบันทึกข้อตกลง (MOA) ระหว่างพรรคการเมือง ซึ่งทำให้ต้องลดอายุของสภาผู้แทนราษฎรลง และผูกมัดกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ยังไม่เห็นหน้าตา หากกระบวนการจัดทำไม่แล้วเสร็จภายใน 4 เดือน ร่างรัฐธรรมนูญก็จะตกไปพร้อมกับการยุบสภา

พร้อมแสดงความกังวลต่อกรอบเวลาการดำเนินการที่จำกัดเพียง 4 เดือนก่อนยุบสภา ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่สูงและยังไม่แน่นอนว่าจะสำเร็จหรือไม่

สำหรับร่างของพรรคเพื่อไทย มีจุดเด่นสำคัญคือการให้อำนาจสูงสุดอยู่ที่รัฐสภา โดยภายหลังจากที่ สสร.ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จสิ้นแล้ว จะต้องนำร่างดังกล่าวกลับมาให้ที่ประชุมรัฐสภาให้ความเห็นชอบหรือแก้ไขเพิ่มเติมได้อีกครั้ง หากรัฐสภาไม่เห็นชอบ ร่างนั้นก็จะตกไป ซึ่งเป็นการยืนยันหลักการอำนาจของรัฐสภาตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

ส่วนประเด็นการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 นายชูศักดิ์ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยไม่มีเจตนาแก้ไข แต่เหตุผลที่ไม่ได้เขียนห้ามไว้ในร่างแก้ไขเพิ่มเติมครั้งนี้ เนื่องจากมาตรา 256 เดิมมีบทบัญญัติคุ้มครองรูปแบบการปกครองอยู่แล้ว และการเขียนห้ามอาจขัดแย้งกับมาตรา 256 ที่เปิดช่องให้แก้ไขได้หากมีการทำประชามติ อีกทั้งในอดีตหมวด 1 ก็เคยมีการแก้ไขมาแล้วในรัฐธรรมนูญปี 2560

 

ประชาชน ชี้รัฐธรรมนูญปี 60 ขาดความชอบธรรม ผลักดันร่างใหม่ยึดโยงประชาชน ไม่แตะหมวด 1-2

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ชี้แจงหลักการและเหตุผลร่างของพรรคประชาชนว่า ร่างของพรรคประชาชนเสนอให้แก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 เพื่อให้รัฐสภาสามารถจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้อย่างมีส่วนร่วมตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีเป้าหมายให้รัฐธรรมนูญเป็นกติกาที่มี “ความชอบธรรมทางประชาธิปไตย” และยึดโยงกับประชาชนอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ เหตุผลสำคัญที่ต้องจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะรัฐธรรมนูญปี 2560 ขาดความชอบธรรมทางประชาธิปไตย มีที่มาจากคณะรัฐประหารและผ่านการทำประชามติที่ไม่เสรีและไม่เป็นธรรม อีกทั้งยังมีบทบัญญัติหลายมาตราที่ไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย จึงสมควรได้รับการแก้ไข

พรรคประชาชน เสนอร่างนี้โดยมี “3 จุดแข็ง” ได้แก่ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยออกแบบให้ประชาชนมีส่วนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญทางอ้อม, การป้องกันการผูกขาดทางการเมือง โดยให้การคัดเลือกคณะกรรมาธิการยกร่างใช้ระบบสัดส่วนแทนเสียงข้างมาก และการกำหนดกรอบเนื้อหาชัดเจน 9 ข้อ ซึ่งยืนยันว่าจะไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 รวมถึงยึดหลักสิทธิเสรีภาพและกลไกป้องกันคอร์รัปชัน

ปัจจุบันรัฐสภามี สส. ฝ่ายค้านที่พร้อมผลักดันวาระรัฐธรรมนูญอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเกรงใจใครเหมือนในอดีต มีรัฐบาลที่ตระหนักว่าความอยู่รอดของตนเองขึ้นอยู่กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สำเร็จ และมี สว. ที่ได้รับคำวินิจฉัยชัดเจนจากศาลรัฐธรรมนูญว่าสามารถร่วมแก้ไขได้โดยไม่ต้องทำประชามติล่วงหน้า

แม้ร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับมีรายละเอียดแตกต่างกัน แต่มีหลักการเดียวกันคือ “รัฐสภาเห็นด้วยหรือไม่กับการเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ซึ่งเป็นคำถามสำคัญที่รัฐสภาต้องร่วมกันตอบผ่านการลงมติในวันนี้

นายพริษฐ์ ย้ำว่า การแก้รัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องที่ทำให้รัฐบาลละเลยปัญหาปากท้อง เพราะรัฐบาลที่ดีต้องสามารถทำทั้ง 2 เรื่องไปพร้อมกัน อีกทั้งการมีรัฐธรรมนูญที่มั่นคงโปร่งใส ยังช่วยสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นจากนักลงทุนในระยะยาว

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ต.ค. 68)