
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เปิดเผยว่า ได้เห็นชอบ “โครงการไฟฟ้าชุมชน ลดค่าไฟให้ประชาชน” ประกอบด้วย โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ และโซลาร์สูบน้ำสำหรับระบบชลประทานและประปาหมู่บ้านเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายใในการอุปดภคบริโภคให้กับประชาชน
“เห็นชอบในหลักการไปแล้วจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พิจารณาในวันอังคารหน้า (28 ต.ค.)” นายกรัฐมนตรี ระบุ
สำหรับโครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน ขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ และอาจมีขนาดย่อยลง เช่น 5 เมกะวัตต์ หรือ 3 เมกะวัตต์ ขึ้นอยู่กับศักยภาพและพื้นที่ของแต่ละชุมชน เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าในราคาย่อมเยา ผ่านทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จะเป็นผู้รับผิดชอบการจ่ายไฟฟ้าในราคาพิเศษ ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าครองชีพและส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน
ส่วนโครงการโซลาร์สูบน้ำ ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการไฟฟ้าชุมชนพลังงานแสงอาทิตย์ มีเป้าหมายในการกระจายระบบพลังงานแสงอาทิตย์ไปใช้ในระบบชลประทานและประปาหมู่บ้านทั่วประเทศ โดยจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นต้นทุนหลักในการสูบน้ำเข้าสู่ระบบเกษตรและการผลิตน้ำประปา เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตประปาหมู่บ้าน ลดค่าใช้จ่ายด้านการอุปโภคบริโภคของประชาชน และกระจายการลงทุนไปยังระดับท้องถิ่น ส่งเสริมการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในพื้นที่ฐานราก
ด้านนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รมว.พลังงาน กล่าวว่า โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชนนั้นจะใช้เงินลงทุนราว 30,000 ล้านบาท มีประชาชนได้รับประโยชน์ 1.2 ล้านครัวเรือน โดยลดค่าไฟฟ้าได้ 40-80 สตางค์/หน่วย และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 1 ล้านตัน/ปี
ส่วนโครงการโซลาร์สูบน้ำจะดำเนินการ 200 จุด ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อระบบประปาหมู่บ้าน 5 พันแห่ง ประชาชน 7 แสนครัวเรือน สามารถช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 2-3 แสนตัน/ปี โดยทั้งสองโครงการใช้งบจากกองทุนอนุรักษ์พลังงานราว 500-600 ล้านบาท จากงบทั้งหมด 900 ล้านบาท
ส่วนค่าไฟฟ้าผันแปร (เอฟที) จะพิจารณาเป็นรอบ ๆ ไป โดยกำลังศึกษาต้นทุนที่มีหลายปัจจัยว่า จะปรับลดลงได้หรือไม่ แต่ยืนยันได้ว่าจะไม่สูงกว่ารอบปัจจุบัน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ต.ค. 68)





