
บมจ.บ้านปู [BANPU] อนุมัติเกี่ยวกับแผนการปรับโครงสร้างภายในกลุ่มบริษัท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้กลุ่มบริษัทมีความคล่องตัวและความพร้อมในการสร้างโอกาสในการเติบโต โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการดำเนินกลยุทธ์ Energy Symphonics เนื่องจากโครงสร้างการจดทะเบียนในปัจจุบันของกลุ่มบริษัทยังไม่เอื้อต่อการสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างเต็มศักยภาพ การปรับโครงสร้างครั้งนี้ จึงมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโครงสร้างกลุ่มธุรกิจ และเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินกลยุทธ์ พร้อมปรับตำแหน่งทางธุรกิจ (Positioning) และทิศทางการเติบโตของแต่ละธุรกิจให้มีความชัดเจน สอดคล้องกับช่วงเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และเพิ่มสัดส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากธุรกิจที่ไม่ใช่ถ่านหิน (Non-coal)
ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทฯ เห็นควรอนุมัติธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามแผนปรับโครงสร้างภายในกลุ่มบริษัท ดังนี้
- ควบรวม BANPU และบมจ.บ้านปู เพาเวอร์ [BPP] ภายใต้พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 โดยบริษัทฯ และ BPP จะสิ้นสภาพการเป็นนิติบุคคล และเกิดเป็นบริษัทมหาชนจำกัดใหม่ขึ้นจากการควบบริษัท ซึ่งบริษัทใหม่ดังกล่าวจะได้รับไปทั้งทรัพย์สิน หนี้ สิทธิ หน้าที่และความรับผิดชอบทั้งหมดของบริษัทฯ และ BPP
- รับซื้อหุ้นของ BPP เป็นการทั่วไปจากผู้ถือหุ้นรายอื่น (General Offer) ก่อนการดำเนินธุรกรรมการควบบริษัท เพื่อเป็นการเข้าลงทุนเพิ่มสัดส่วนใน BPP ซึ่งเป็นธุรกิจที่บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโต และคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากผลตอบแทนการลงทุนที่ดี
- เข้าทำสัญญาควบบริษัทกับ BPP เพื่อกำหนดสิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาแต่ละฝ่าย และเงื่อนไขต่าง ๆ ในการดำเนินธุรกรรมการควบบริษัท รวมถึงการเข้าทำและลงนามในเอกสารอื่นใดอันเกี่ยวข้องกับสัญญาการควบบริษัท หรือธุรกรรมการควบบริษัท
- ให้บริษัท บ้านปูมินเนอรัล จำกัด (BMC) ซึ่งเป็นบริษัทที่ BANPU ถือหุ้น 100% ได้แสดงความประสงค์ที่จะเป็นผู้รับซื้อหุ้นของบริษัทฯ และหุ้นของ BPP จากผู้ถือหุ้นของแต่ละบริษัทที่เข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นและออกเสียงคัดค้านธุรกรรมการควบบริษัท ตามมาตรา 146 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ. บริษัทมหาชน
- แต่งตั้งบริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินที่อยู่ในบัญชีรายชื่อที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้ความเห็นชอบ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) เพื่อทำหน้าที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับธุรกรรมการควบบริษัท เพื่อให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนและเพียงพอประกอบการพิจารณาอนุมัติธุรกรรมดังกล่าว
BANPU แถลงว่า ความเคลื่อนไหวที่สำคัญในโครงสร้างของกลุ่มบริษัทครั้งนี้ บ้านปูกำลังเร่งผลักดันการเติบโตของกลุ่มธุรกิจที่เป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตหลัก ได้แก่ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติและธุรกิจไฟฟ้า โดยการรวมสินทรัพย์ด้านโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ ไว้ภายใต้ BKV ซึ่งจะเป็นธุรกิจหลักที่สามารถปลดล็อกกลยุทธ์ก๊าซธรรมชาติครบวงจรในสหรัฐฯ ได้เต็มศักยภาพ ซึ่งครอบคลุมการผลิตก๊าซธรรมชาติ การดักจับคาร์บอน และการผลิตไฟฟ้า การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่เพียงแต่เสริมความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจก๊าซ แต่ยังช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจไฟฟ้าที่เพิ่มเข้ามาใหม่อีกด้วย ในขณะเดียวกัน ธุรกิจไฟฟ้าของบ้านปู ภายใต้ BPP จะถูกยกระดับเป็น Power+ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มธุรกิจไฟฟ้าเต็มรูปแบบที่รวมการผลิตไฟฟ้าแบบดั้งเดิมและพลังงานใหม่ไว้ภายใต้เสาหลักธุรกิจนี้ ขณะที่การลงทุนในเทคโนโลยีเกิดใหม่และ โซลูชันดิจิทัลด้านพลังงานจะได้รับการบริหารจัดการภายใต้เสาหลักธุรกิจที่ชื่อว่า Future Tech ซึ่งครอบคลุมถึงธุรกิจ ใหม่ ๆ ที่มีโอกาสเติบโตที่เกี่ยวเนื่องกับ Data Center และเทคโนโลยีพลังงานที่สามารถสร้างพลังร่วมระหว่างกันได้
โครงสร้างใหม่นี้สร้างคุณค่าให้กับบ้านปูใน 3 มิติ อย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ ด้านโครงสร้าง ทำให้แต่ละธุรกิจหลักของกลุ่มมีความชัดเจน โดยมีการกำกับดูแลกิจการที่มีประสิทธิภาพเป็นกลไกสนับสนุน ด้านกลยุทธ์ สร้างโอกาสในการเติบโตและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ ซึ่งเป็นตัวเร่งการเติบโตและการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของบ้านปู และด้านการเงิน ช่วยสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์ในตลาด และยังสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถานะทางการเงินของบริษัทฯ ที่จะส่งผลให้บ้านปูอยู่ในจุดที่แข็งแกร่งในระยะยาว พร้อมรับกับโอกาสใหม่ ๆ
นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BANPU กล่าวว่า แผนงานในครั้งนี้ช่วยให้เราสามารถจัดสรรเงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และทำให้เกิดแนวดำเนินกลยุทธ์ที่สอดคล้องกันระหว่าง 4 กลุ่มธุรกิจหลักที่ปรับขึ้นใหม่ ได้แก่ Next-Gen Mining (เหมืองยุคใหม่) U.S. Closed-Loop Gas (ก๊าซธรรมชาติครบวงจรในสหรัฐฯ) Power+ (ไฟฟ้าและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง) และ Future Tech (เทคโนโลยีแห่งอนาคต) เราเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเปิดโอกาสใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้น สอดรับกับแนวโน้มพลังงานของโลกและกระแสการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เช่น ความต้องการ Data Center ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ตลอดจนความต้องการพลังงานที่มีความเสถียรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถสร้างผลตอบแทนที่แข็งแกร่งและยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหุ้นของเราได้
การควบรวมกิจการระหว่าง BANPU และ BPP จะจัดตั้ง NewCo โดยจัดสรรหุ้นของบริษัทใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นของ BANPU และ BPP ในอัตราส่วนการแลกหุ้น (Swap Ratio) เบื้องต้น คือ 1 หุ้นเดิมในบริษัทฯ ต่อ 0.35575 หุ้นในบริษัทใหม่ และ 1 หุ้นเดิมใน BPP ต่อ 0.74615 หุ้นในบริษัทใหม่
การรวมสินทรัพย์โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ เป็นการรวมการถือหุ้นส่วนใหญ่ 75% ในธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ ขนาดกำลังผลิต 1.5 กิกะวัตต์ ไว้ภายใต้บริษัท BKV Corporation (BKV) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบ้านปูที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) โดย BPP อยู่ระหว่างการเตรียมขายสิทธิการลงทุน (Membership Interests) 25% ในกิจการร่วมค้า BKV-BPP Power LLC (BKV-BPP) ให้แก่ BKV ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 230.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่าประมาณ 7,512 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม BPP ยังคงถือหุ้น 25% ในกิจการร่วมค้าดังกล่าว เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตในธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในอนาคต โดยธุรกรรมนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/69 และจะชำระค่าตอบแทนจากการจำหน่ายสิทธิการลงทุนในรูปแบบของเงินสดจำนวน 50% และหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ BKV คิดเป็น 50% ของมูลค่ารวม
นายอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BPP กล่าวว่า การควบรวมครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยน BPP จากผู้ผลิตไฟฟ้าระดับภูมิภาค สู่แพลตฟอร์มหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตในกลุ่มบ้านปู ประกอบกับการขายสิทธิการลงทุนบางส่วนจำนวนร้อยละ 25 ใน BKV-BPP ก็จะช่วยปลดล็อกเงินทุนที่สามารถนำไปใช้ในการลดภาระหนี้หรือการลงทุนใหม่ในโอกาสการเติบโตใหม่ ๆ ได้ ทั้งยังรักษาตำแหน่งเชิงกลยุทธ์ในตลาดสหรัฐฯ เพื่อเปิดรับการเติบโตในระยะยาวในระดับภูมิภาค ทั้งนี้ ด้วยบทบาทของเราในฐานะเสาธุรกิจหลัก ‘Power+ (เพาเวอร์ พลัส)’ จะเปิดโอกาสให้เราเข้าถึงห่วงโซ่คุณค่าพลังงานแบบครบวงจรของกลุ่มบ้านปู เพิ่มความคล่องตัวทางการเงิน และขยายโอกาสในการเข้าถึงเงินทุนสำหรับการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าสูง ซึ่งจะช่วยปลดล็อกคุณค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์ที่สะท้อนในตลาดได้อย่างดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งเสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน และเพิ่มสภาพคล่องของหุ้น
แผนเชิงกลยุทธ์นี้สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของบ้านปูไปสู่ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนและสามารถวัดผลได้ ทั้งนี้ ภายในปี 2030 บริษัทฯ ตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA เป็น 1.5 เท่า ลดสัดส่วนรายได้หรือ EBITDA ที่มาจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับถ่านหินให้ต่ำกว่าร้อยละ 50 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 1 และ 2 มากกว่าร้อยละ 20 สำหรับเป้าหมายระยะยาว บ้านปูยังคงมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 ภายใต้พันธสัญญา “Our Way in Energy” หรือ “พลังบ้านปู สู่พลังงานที่ยั่งยืน” โดยมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าในระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ผ่านการเติบโตอย่างรับผิดชอบ การเปลี่ยนผ่านอย่างยั่งยืน และโซลูชันพลังงานที่พร้อมรับมือกับโลกอนาคต
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ต.ค. 68)





