
นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม [PTTEP] หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า ผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 68 มีรายได้รวม 220,503 ล้านบาท (เทียบเท่า 6,659 ล้านดอลลาร์ สรอ.) มีปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยอยู่ที่ 499,925 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 67 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากโครงการในประเทศไทย เช่น โครงการ G1/61 ที่เพิ่มอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติในเดือนมีนาคม 2567 และโครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เอ 18 ที่บริษัทเข้าร่วมลงทุนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2568
ในขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก มาอยู่ที่ 44.27 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 42,761 ล้านบาท (เทียบเท่า 1,288 ล้านดอลลาร์ สรอ.)
ทั้งนี้ PTTEP แจ้งผลประกอบการ ไตรมาส 3/68 มีกำไรสุทธิ 1.27 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 3.19 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.79 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 4.50 บาท ส่วนงวด 9 เดือนแรกของปี 68 มีกำไรสุทธิ 4.28 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 10.77 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 6.05 หมื่นล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 15.25 บาท
ในรอบ 9 เดือนของปี 68 ปตท.สผ. ได้นำส่งรายได้ให้กับรัฐในรูปของภาษีเงินได้ ค่าภาคหลวง และส่วนแบ่งผลประโยชน์อื่น ๆ จำนวนกว่า 43,700 ล้านบาท เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ เช่น การพัฒนาชุมชน การศึกษา และการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐยังได้รับส่วนแบ่งของผลผลิตปิโตรเลียมจากโครงการ G1/61 และ G2/61 ซึ่งอยู่ภายใต้สัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) เป็นรายได้ทางตรงจากการผลิตปิโตรเลียมที่รัฐนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศอีกส่วนหนึ่งด้วย
นายมนตรี กล่าวว่า ในไตรมาส 3/68 บริษัทได้ขยายการลงทุนเพิ่มเติม โดยได้เข้าถือหุ้น 50% ในโครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เอ 18 ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติที่มีความสำคัญต่อการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ โดยเป็นแหล่งพลังงานหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าในบริเวณภาคใต้ของไทย ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติประมาณ 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ส่งเข้าประเทศไทยในอัตรา 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หรือประมาณร้อยละ 6 ของความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย การลงทุนครั้งนี้ สามารถสร้างรายได้ ปริมาณการขาย และปริมาณสำรองปิโตรเลียมให้กับบริษัทได้ทันที
ในทวีปแอฟริกา ปตท.สผ. ได้เสร็จสิ้นการซื้อสัดส่วนการลงทุนในโครงการแอลจีเรีย ทูอัท แล้ว ส่งผลให้ ปตท.สผ. มีสัดส่วนถือหุ้นทางอ้อม 22.1% ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติประมาณ 435 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และสามารถเพิ่มกำลังการผลิตในอนาคตได้ การเข้าร่วมทุนครั้งนี้ สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติและปริมาณสำรองปิโตรเลียมให้กับบริษัทได้ทันทีเช่นกัน

สำหรับในประเทศไทย ปตท.สผ.ประกาศตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายเดินหน้าโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) ที่แหล่งอาทิตย์ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยจะสามารถดักจับและอัดกลับคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงสุด 1 ล้านตันต่อปี คาดว่าจะเริ่มการอัดกลับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ในปี 71
การดำเนินงานดังกล่าว จะไม่กระทบต่อการผลิตก๊าซธรรมชาติของแหล่งอาทิตย์ โครงการ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ ยังเป็นการนำร่องและเป็นต้นแบบที่สำคัญในการพัฒนาโครงการ CCS ในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศไทยในอนาคต รวมถึงธุรกิจ CCS ในบริเวณอ่าวไทยตอนบน (Eastern Thailand CCS Hub) อีกด้วย
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสร้างองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการศึกษาวิจัย พัฒนา และประยุกต์ใช้เทคโนโลยี CCS ในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศไทย ปตท.สผ. ได้ร่วมมือกับกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ มอบทุนสนับสนุนโครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาด้าน CCS ในประเทศไทย ให้กับ 9 โครงการ จากสถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษาชั้นนำ 7 แห่ง ครอบคลุมด้านต่าง ๆ ตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value chain) ของกิจกรรม CCS อย่างครบวงจร นับได้ว่าเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ในการพัฒนาองค์ความรู้ด้าน CCS ให้กับประเทศ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศ
“แผนการดำเนินงานต่อจากนี้ ปตท.สผ. จะเร่งการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายหลายโครงการในต่างประเทศ เช่น โครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ ระยะที่สอง โครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 2 ในแหล่ง Waset รวมถึงโครงการสำรวจที่มีการค้นพบปิโตรเลียมแล้วในประเทศมาเลเซีย ซึ่งโครงการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มปริมาณการผลิตให้กับบริษัทในระยะยาว เพื่อสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป” นายมนตรี กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ต.ค. 68)





