
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) ให้มุมมองต่อทิศทางเศรษฐกิจไทย ว่า เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายจากการเมืองในประเทศช่วงไตรมาส 3/68 แม้การเปลี่ยนผ่านของรัฐบาล จะทำได้รวดเร็วและฟื้นคืนความเชื่อมั่นมาได้บ้าง แต่บาดแผลเศรษฐกิจที่ซบเซาจากกำลังซื้อที่อ่อนแอ จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง รายได้ภาคเกษตรตกต่ำจากราคาสินค้าที่ตกต่ำ ตลอดจนรายได้จากภาคการก่อสร้างที่ทรุดตัวจากยอดขายคอนโดที่ลดลงต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ก่อนที่สภาพัฒน์จะรายงานตัวเลขเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการในวันที่ 17 พ.ย.นี้ สำนักวิจัย CIMBT ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/68 จะขยายตัว 1.2%YoY หรือ -0.48%QoQ หลังปรับฤดูกาล ซึ่งแม้จะเป็นการหดตัวเทียบไตรมาสต่อไตรมาสครั้งแรกในรอบ 10 ไตรมาส หรือนับจากไตรมาส 4/65 แต่การหดตัวของเศรษฐกิจไทยครั้งนี้ น่าจะเป็นเพียงช่วงไตรมาส 3/68 ไม่น่าลากยาวไปสู่ไตรมาส 4/68 จนเกิดภาวะถดถอยทางเทคนิค
โดยปัจจัยที่กดดันเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/68 มาจากการบริโภคภาคเอกชนที่แทบไม่ขยายตัวเลยจากไตรมาสก่อน และมาจากการลงทุนภาคเอกชน และการส่งออกสุทธิที่หดตัวจากไตรมาสก่อนหน้า แม้ตัวเลขการส่งออกจะเติบโตดี แต่การนำเข้าก็เร่งแรงเช่นกัน โดยภาพรวม CIMBT ได้ปรับคาดการณ์ GDP เศรษฐกิจไทยปี 68 เป็น 2.2% (จากคาดการณ์เดิม ณ เดือนก.ค.68 คาดโต 1.8%) พร้อมคาดการณ์ GDP ปี 69 ที่โต 1.7%
คนละครึ่งพลัส-ลดดอกเบี้ยนโยบาย แรงฟื้นเศรษฐกิจ Q4/68
นายอมรเทพ มองว่า ความหวังของเศรษฐกิจไตรมาส 4/68 เหมือนจะอยู่ที่มาตรการภาครัฐ และแรงส่งจากนโยบายการเงินเป็นหลัก ดังนี้
– แรงที่หนึ่ง “มาตรการคนละครึ่งพลัส” ช่วยฟื้นความเชื่อมั่น ลดภาระใช้จ่ายกระตุ้นให้คนมาซื้อสินค้าและบริการมากขึ้น และรัฐบาลอาจมีมาตรการอื่น ๆ มาสนับสนุนการบริโภค และการท่องเที่ยวด้วย เช่น มาตรการลดหย่อนภาษี ซึ่งมาตรการทั้งหลายนี้ น่าจะสนับสนุนการบริโภคภาคเอกชนให้พลิกกลับมาขยายตัวได้อย่างเร่งแรงขึ้น
แต่ด้วยงบประมาณที่จำกัด การกระตุ้นอาจทำได้ไม่มาก อีกทั้งให้ระมัดระวังการชะลอตัวของการบริโภค หลังสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หากมาตรการต่าง ๆ ไม่ได้ก่อให้เกิดการจ้างงาน หรือการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน เนื่องจากผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าในช่วงมาตรการต่าง ๆ อาจไม่จับจ่ายใช้สอยหลังสิ้นสุดมาตรการ เพราะคนมักสต็อกสินค้าไว้ ส่งผลให้การบริโภคลดลงภายหลัง ซึ่งอาจเกิดขึ้นปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า
– แรงที่สอง “การส่งผ่านนโยบายการเงินช่วงก่อนหน้า” หรือการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับสูงสุดเมื่อปลายปี 67 ที่ 2.50% สู่ระดับปัจจุบันที่ 1.50% ซึ่งช่วยลดภาระดอกเบี้ยของผู้กู้ และสนับสนุนการขยายตัวของสินเชื่อในอนาคต นอกจากนี้ คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในรอบการประชุมธ.ค.นี้ สู่ระดับ 1.25% ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มเติม
นอกจากนี้ คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะร่วมมือกับกระทรวงการคลัง ดูแลปัญหาหนี้ครัวเรือน เพื่อช่วยผู้มีรายได้น้อยสามารถบริหารกระแสเงินหมุนเวียน และกลับมาจับจ่ายใช้สอยได้ดีขึ้น แต่ต้องระมัดระวังว่ามาตรการต่าง ๆ นี้จะไม่ส่งเสริมให้คนหันกลับไปก่อหนี้จนเกินตัวอีก หรือเปิดช่องให้ผู้กู้ที่มีความสามารถในการชำระหนี้ แต่กลับใช้โอกาสนี้หาประโยชน์ในการลดหนี้
จับตาส่งออกพลิกติดลบ-การผลิตหดตัว ฉุดศก. Q4/68 ฟุบ
สำหรับความเสี่ยงเศรษฐกิจไตรมาส 4/68 มาจากปัจจัยต่างประเทศ ผ่านการส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งกระทบภาคการลงทุนของไทย ดังนี้
– ความเสี่ยงแรก คือ การส่งออกสินค้าที่กำลังจะพลิกมาติดลบในช่วงไตรมาส 4/68 นี้ แม้ตัวเลขส่งออกล่าสุดเดือนก.ย.จะขยายตัวได้ดี ทั้งที่เป็นช่วงสหรัฐจัดเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าไทยในอัตรา 19% แต่ส่วนหนึ่งมาจากคำสั่งซื้อไว้ก่อนแล้ว และคาบเกี่ยวอยู่ในช่วงผลิตและขนส่ง อีกส่วนมาจากสินค้าจากไทยที่แม้ถูกจับเก็บภาษีเพิ่มในอัตรา 19% แต่ยังนับว่าถูกกว่าสินค้าที่ผลิตในสหรัฐ หรือสินค้าที่สหรัฐนำเข้าจากจีน จึงยังพอให้มีความต้องการสินค้าอยู่บ้าง หรือมีการทะลักของสินค้าจีนผ่านไทยเพื่อส่งออกไปสหรัฐ
แต่ต้องระวังการส่งออกช่วงต่อจากนี้ ที่อาจพลิกกลับมาหดตัว และอาจลากยาวไปถึงช่วงกลางปีหน้า นั่นเพราะสหรัฐเองได้สต็อกสินค้าก่อนมาตรการภาษีไว้มาก และจำเป็นต้องเร่งระบายสินค้าคงคลังก่อนนำเข้าสินค้าใหม่
นอกจากนี้ เชื่อว่าความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน จะยังไม่ยุติ แม้มีข่าวดีในการพัฒนาด้านการเจรจาที่จีนจะนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ แต่ด้วยสหรัฐต้องการแยกห่วงโซ่อุปทานภาคการผลิตกับจีน เพื่อลดความเสี่ยงในอนาคต สหรัฐฯ อาจจำเป็นต้องหามาตรการกีดกันทางการค้า หรือลดทอนอำนาจทางเศรษฐกิจของจีนลง จนทำให้บรรยากาศการค้าโลกซบเซาลงหลังจากนี้
ซึ่งไทยน่าจะเร่งเจรจาการค้ากับสหรัฐ เพื่อลดความเสี่ยงนี้ต่อเนื่อง ทั้งการเปิดตลาดให้สหรัฐส่งออกมาไทยได้เสรีมากขึ้น และเจรจาในประเด็นการสวมสิทธิสินค้าจีน เพื่อป้องกันการถูกจัดเก็บอัตราภาษีที่สูงขึ้นในกรณี Transshipment และเมื่อบรรยากาศการค้าโลกซบเซา อาจส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะจากจีนอ่อนแอลง จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติก็มีแนวโน้มฟื้นตัวช้าลงเช่นกัน ซึ่งจะกระทบรายได้ภาคบริการอีกทอดหนึ่ง
– ความเสี่ยงถัดมา คือ ภาคการลงทุน เมื่อการส่งออกหดตัว การผลิตก็มีแนวโน้มหดตัวตาม แม้จะมีการเร่งอนุมัติการลงทุนของ BOI แต่ก็ไม่อาจชดเชยความเสี่ยงด้านการลงทุน เพื่อการส่งออกที่หดตัวได้ อีกทั้งให้จับตาการเร่งระบายสินค้าจากจีนเข้ามาไทย ที่จะกระทบการผลิตในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่ขาดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากการลงทุนด้านเครื่องจักรแล้ว ความเสี่ยงอีกด้านคือการลงทุนด้านการก่อสร้าง ที่ยังมีแนวโน้มซบเซาจากคอนโดฯ ที่ล้นตลาด และกำลังซื้อที่อ่อนแอ ขณะที่สถาบันการเงินยังเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเนื่องจากความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูง อาจมีผลให้การออกโครงการใหม่เลื่อนออกไป
เศรษฐกิจไทย Q4/68 มีทั้งโอกาส-ความท้าทาย
โดยสรุป เศรษฐกิจไทยช่วงไตรมาส 4/68 เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทาย ความหวังอยู่ที่มาตรการภาครัฐในการเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้ทั้งผู้ประกอบการไทยและต่างประเทศ และให้ผู้บริโภคเร่งลงทุนและจับจ่ายใช้สอย มากกว่ารอคอยให้เกิดความชัดเจนทางการเมือง อีกทั้งแรงส่งจากมาตรการทางการเงินที่ผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อลดภาระดอกเบี้ย และสนับสนุนการขยายตัวของสินเชื่อ รวมทั้งมาตรการลดภาระหนี้ของผู้มีรายได้น้อยโดยไม่ก่อให้เกิดผลเสียด้านพฤติกรรมของผู้กู้ และภาระทางการคลังระยะยาว
ส่วนความท้าทาย อยู่ที่ภาคการส่งออกสินค้าของไทยที่เสี่ยงหดตัวหลังสหรัฐฯ เร่งนำเข้าไปมากแล้ว และจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่อาจปะทุขึ้นอีกจนกระทบบรรยากาศการค้าโลก ซึ่งบรรยากาศที่ซบเซา จะกระทบการลงทุนภาคเอกชนทั้งด้านเครื่องจักรและการก่อสร้างให้หดตัวได้ช่วงปลายปีนี้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ต.ค. 68)





