
บริษัท แคปปิตอล เอ จำกัด (Capital A Berhad) ประกาศว่าได้ดำเนินการครบถ้วนตามเงื่อนไขทั้งหมดสำหรับการขายธุรกิจสายการบินให้แก่บริษัท แอร์เอเชีย เอ็กซ์ จำกัด (AirAsia X Berhad) ซึ่งความสำเร็จครั้งนี้ถือเป็น “บทสรุปสุดท้าย” ของการรวมธุรกิจสายการบินทั้งหมดภายใต้กลุ่มสายการบินเดียว และเป็นจุดเริ่มต้นของ “การเดินทางครั้งใหม่” ของแคปปิตอล เอ ในฐานะกลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยวและดิจิทัลแบบครบวงจร
การบรรลุเป้าหมายสำคัญนี้เกิดขึ้นหลังจากการปฏิบัติตามทุกเงื่อนไข ไม่ว่าจะเป็นการได้รับหนังสือยินยอมจากผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมด และหนังสือรับรองการเสนอขายหุ้นให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) มูลค่า 1,000 ล้านริงกิตให้แก่แอร์เอเชีย เอ็กซ์ อีกทั้งเมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการขอผ่อนผันข้อกำหนดด้านกฏระเบียบจากหน่วยงานกำกับดูแลในประเทศไทยแล้ว
หลังจากนี้ทั้งสองฝ่ายจะเดินหน้าดำเนินการในขั้นตอนที่เหลือ ได้แก่ การลดทุนและจัดสรรหุ้น (Capital Reduction and Distribution) ของแคปปิตอล เอ การออกและจดทะเบียนหุ้นของแอร์เอเชีย เอ็กซ์ รวมถึงขั้นตอนทางกฎหมายอื่น ๆ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคมนี้ และจะตามมาด้วยการยื่นคำขอเพิกถอนสถานะ PN17 ในเดือนเดียวกัน
“วันนี้ถือเป็นวันที่ยิ่งใหญ่สำหรับผม เพราะเราสามารถประกาศได้อย่างเป็นทางการว่าสัญญาทั้งหมดได้ผ่านเงื่อนไขครบถ้วน ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เราได้ฝ่าฟันอุปสรรคและการอนุมัติต่าง ๆ เพื่อให้ข้อตกลงนี้สำเร็จลุล่วง เรากำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการเดินทางที่ยาวนาน พร้อมกลับมาอย่างแข็งแกร่งกว่าเดิม ด้วยกลุ่มสายการบินที่มั่นคง และบริษัทในเครือใหม่ทั้ง 5 แห่งภายใต้แคปปิตอล เอ
ต่อจากนี้ เราจะเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ด้วยบริษัท 2 กลุ่มที่มีความชัดเจน คือกลุ่มสายการบินภายใต้ชื่อ แอร์เอเชีย กรุ๊ป ที่รวมสายการบินแอร์เอเชียทั้ง 7 สาย (ทั้งเส้นทางระยะกลางและระยะสั้น) ให้ทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายเดียวทั่วภูมิภาค และกลุ่มแคปปิตอล เอ ที่มุ่งเน้นการขยายธุรกิจ 5 ประเภทในกลุ่มท่องเที่ยวและดิจิทัลที่มีศักยภาพการเติบโตสูง”นายโทนี่ เฟอร์นันเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มแคปปิตอล เอ กล่าว
เมื่อการรวมธุรกิจสายการบินแล้วเสร็จ “แอร์เอเชีย กรุ๊ป” จะดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์ที่มุ่งสร้าง “เมกา ฮับ” หลายแห่งทั่วภูมิภาค แทนการพึ่งพาตลาดหลักเพียงแห่งเดียว พร้อมตั้งเป้าที่จะเป็น “สายการบินเครือข่ายราคาประหยัดเครื่องบินลำตัวแคบรายแรกของโลก” ซึ่งจะช่วยขยายเครือข่ายการบินให้กับผู้โดยสาร เพิ่มประสิทธิภาพการใช้เครื่องบิน ลดต้นทุนต่อหน่วย และสร้างโอกาสในการเติบโต ผ่านการใช้เครื่องบินรุ่นแอร์บัส A321neo และ A321XLR ที่มีพิสัยบินไกลมากขึ้น
ในขณะเดียวกัน บริษัทในเครืออีก 5 แห่งของ แคปปิตอล เอ ถือเป็น “ก้าวต่อไป” ของการเติบโต นอกเหนือจากธุรกิจการบิน ได้แก่ ADE (ธุรกิจวิศวกรรมและซ่อมบำรุงอากาศยาน) Teleport (ธุรกิจโลจิสติกส์) AirAsia MOVE (แพลตฟอร์มท่องเที่ยวดิจิทัล) Santan (ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม) และ Abc. (ธุรกิจการให้สิทธิ์ใช้แบรนด์และทรัพย์สินทางปัญญา) ซึ่งจะเปลี่ยนชื่อเป็น AirAsia NEXT โดยทั้ง 5 ธุรกิจนี้มีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมของตน และสร้างนิยามใหม่ให้กับภูมิทัศน์ธุรกิจในอาเซียน เช่นเดียวกับที่แอร์เอเชียเคยปฏิวัติวงการการบินในภูมิภาคนี้
ธุรกิจเหล่านี้ใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศของข้อมูล เทคโนโลยี และฐานผู้ใช้งานของแคปปิตอล เอ เพื่อสร้างโอกาสอย่างเต็มที่ ด้วยกลุ่มผู้บริหารและความสำเร็จที่ผ่านมา รวมถึงวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรม แคปปิตอล เอ มุ่งมั่นที่จะต่อยอดธุรกิจทั้ง 5 นี้อย่างยั่งยืน เพื่อสร้างการเติบโตระยะยาวและเพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น
ประกาศครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าการปรับโครงสร้างของบริษัทได้เข้าสู่ “บทสุดท้าย” และแคปปิตอล เอ กำลังเตรียมพร้อมสำหรับ “การเดินทางครั้งใหม่” หลังการเพิกถอนสถานะ PN17
อนึ่ง AIRASIA AVIATION GROUP LIMITED เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 40.71% ของ บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น [AAV] กำลังอยู่ในชั้นตอนปรับโครงสร้างในมาเลเซีย ซึ่งปัจจุบัน AAV ยังไม่ได้รับการแจ้งข้อมูลหรือการติดต่อใด ๆ จากผู้มีหน้าที่ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม AirAsia X Berhad ได้มีการประกาศข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของบริษัทต่อทางตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 ต.ค. 68)




