
ความแตกต่างของ กฎเกณฑ์ ข้อบังคับ ของแต่ละตลาดหุ้นในโลกนี้ มักถูกออกแบบมา ให้เหมาะสมสำหรับนักลงทุนในแต่ประเทศ
ปัจจัยที่ทำให้กฎข้อบังคับในตลาดหุ้นไทย (SET-mai) แตกต่างจากตลาดหุ้นต่างประเทศ คือ
1.กรอบกฎหมายและเป้าหมายเชิงนโยบายของประเทศ
โครงสร้างเศรษฐกิจไทย ที่ยังต้องพึ่งพา “ความมีเสถียรภาพ”
หากมอง มายัง ตลาดทุน นโยบายก็จะเน้น”ความมีเสถียรภาพตลาด” และ “การคุ้มครองผู้ลงทุน” เป็นหลัก เช่นกัน
การออกกฎเกณฑ์ การกำกับดูแลของทางการไทยที่แตกต่างจากตลาดหุ้นต่างประเทศมีความชัดเจนในแง่มุมของการเน้นใช้แนวป้องกันหลายชั้น เพื่อรักษาเสถียรภาพตลาดและป้องกันเชิงผลกระทบเชิงระบบ ซึ่งแตกต่างจากตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้วที่เน้นความอิสระที่ค่อนข้างสูง และเชื่อว่าระบบจะฟื้นตัวเองได้จากสภาพคล่องและผู้ลงทุนสถาบันจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้าไปลงทุน
การที่ระบบกำกับเน้นการคุ้มครองความมีเสถียรภาพ สะท้อนทัศนคติรัฐและหน่วยงานกำกับไทยที่ให้ความสำคัญกับ
-การคุ้มครองรายย่อย
-ป้องกันความเสียหายเชิงระบบ
-ความมั่นคงของตลาดทุนเป็นภาพลักษณ์ประเทศ
ในทางกลับกัน ตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้วคิดหลัก “การคุ้มครอง” คือ การให้ตลาดแข่งขันอย่างเต็มที่แล้วออกกฎเกณฑ์มาบังคับเฉพาะจุด
2.โครงสร้างผู้เล่นในตลาดหุ้นไทย มีส่วนผสมของผู้เล่น “ในประเทศ” ค่อนข้างสูง จึงทำให้ความผันผวนเชิงพฤติกรรมมีมาก
ปัจจุบันสัดส่วนนักลงทุนรายย่อย กับ กองทุนในประเทศ รวมกันอยู่ที่เกิน 50%
ส่งผลให้เกณฑ์ที่ออกมามักเน้นการมี “คันเบรก” หลายชั้น เพื่อสร้างแนวป้องกันให้กับผู้ลงทุน
เนื่องจากเป็นธรรมชาติของตลาดหุ้นไทยที่จะมีความผันผวนเชิงพฤติกรรมสูงกว่าตลาดที่มีผู้ลงทุนสถาบันเป็นหลัก
สำหรับพฤติกรรมความเสี่ยงที่ว่า มีทั้งการเล่นหุ้นตามตามกระแส, การตื่นตระหนกเวลามีเหตุการณ์ หรือผลกระทบ, การลงทุนตามข่าว ตามโซเชียล สิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลกระทบต่อราคาหุ้นโดยตรง
ฉะนั้น การต้องมีเครื่องมือควบคุมความผันผวนจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับตลาดหุ้นไทย อาทิ มาตรการ Cash Balance , มาตรการ Auto Pause รวมถึง เงื่อนไข ความเข้มงวดในการ Short sell ฯลฯ
3.ขนาดตลาดหุ้นยังไม่ใหญ่พอ มีความเสี่ยงต่อการถูกควบคุม หรือ การปั่นราคาหุ้น
ตลาดหุ้นไทย ถือเป็นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market :AEM) มูลค่าตลาดรวมของบริษัทจดทะเบียนใน SET รวม MAI อยู่ที่ประมาณ 16,591,470 ล้านบาท (16.59 ล้านล้านบาท) ณ วันที่ 29 ต.ค.2025 หรือคิดเป็น 0.51 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
โดยปกติแล้วจะมีขนาดเล็กกว่าตลาดที่พัฒนาแล้ว (Developed Market:DM) อย่างตลาดหุ้นอเมริกาที่มีมาร์เก็ตแคปประมาณ 52 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือใหญ่กว่าตลาดหุ้นไทยประมาณ 100 เท่านั่นเอง
การที่ตลาดหุ้นมีขนาดเล็ก ทำให้หุ้นบางกลุ่มที่มีมาร์เก็ตต่ำและสภาพคล่องจำกัด มีความเสี่ยงที่อาจจะถูกนำไปสู่
– Market manipulation (การปั่นหุ้น หรือ การบิดเบือนราคาในตลาดหุ้น) คือ การกระทำที่ทำให้ราคาหุ้น อนุพันธ์ เคลื่อนไหวผิดไปจากความเป็นจริงด้วยวิธีไม่โปร่งใส เพื่อให้ผู้กระทำได้ประโยชน์ เช่น ทำให้ราคาสูงหรือต่ำอย่างผิดปกติ หลอกลวงนักลงทุนรายอื่น
– Pump and Dump (การปั่นแล้วทิ้ง) การปั่นราคาหุ้นให้สูงขึ้นด้วยการสร้างกระแส การซื้อเทียม หรือ สร้างดีมานด์ปลอม จากกลุ่มเดียวกัน ทำให้ดูเหมือนมีมหาชนเข้าร่วมด้วย เพื่อให้รายย่อยเข้ามาแล้วขายทิ้งทำกำไร
– Wash trade คือ การทำธุรกรรมซื้อขายหุ้นโดยเจตนาให้ดูเหมือนมีการซื้อขายจริง ทั้งที่แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงความเป็นเจ้าของจริง พูดง่ายๆ คือ “ซื้อขายกันเอง” เพื่อสร้างปริมาณซื้อขายเทียม ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดว่ามีแรงซื้อแรงขายจริง
– Cornering (คอร์นเนอร์หุ้น) คือ การกระทำที่นักลงทุนหรือกลุ่มนักลงทุนพยายามควบคุมหุ้นบางตัว โดยการซื้อหุ้นจำนวนมากจนราคาถูกดันขึ้นสูงอย่างผิดปกติ เพื่อให้เกิดการขาดแคลนหุ้นในตลาด หรือ จะเรียกว่าการควบคุมสภาพคล่อง หรือ ถือครองหุ้นจำนวนมากเพื่อควบคุมราคา นั่นเอง
– Spoofing หรือ Fake orders คือ การส่งคำสั่งซื้อหรือขายหุ้นจำนวนมากเพื่อสร้างภาพลวงตาว่ามีแรงซื้อหรือขายจริง แล้วทำการยกเลิกคำสั่งก่อนที่รายการนั้นจะถูกจับคู่ จุดประสงค์คือเพื่อหลอกให้ราคาหุ้นขยับไปในทิศทางที่ต้องการ เพื่อให้ผู้ทำการ spoofing ได้กำไรจากการเคลื่อนไหวของราคา ถือเป็นการตั้งคำสั่งซื้อขายปลอมเพื่อหลอกตลาด
สำหรับการมีระบบป้องกันที่มากและหลากหลายในตลาดหุ้นไทย เป็นภาพสะท้อนความกังวลเรื่อง Market Manipulation Pump & Dump ,Wash Trade ,Cornering ,Spoofing -Fake Orders ที่เป็นผลพวงจากการมีตลาดไซส์ไม่ใหญ่นัก
4.โครงสร้างการถือหุ้น-การเมืองเศรษฐกิจของไทย
กฎหมายเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่พ่วงมา เช่น เพดานความเป็นเจ้าของต่างชาติ ซึ่งกระทบ “กติกาซื้อขาย” ทางอ้อม เห็นได้ชัดในเรื่องของการมี ไทยเอ็นวีดีอาร์ (NVDR) เป็นการสะท้อนว่าประเทศไทยยังให้ความสำคัญกับอธิปไตยการถือครองธุรกิจหลัก (Strategic Industries)
สำหรับตลาดพัฒนาแล้วส่วนใหญ่ไม่ต้องมีระบบลักษณะนี้ เพราะโครงสร้างเศรษฐกิจเปิด และกฎหมายการควบคุมกิจการมีตัวคุ้มครองเพียงพออยู่แล้ว
5.ความเชื่อมั่นและความไว้วางใจในระบบยังต้องสร้างอย่างต่อเนื่อง
การมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด เป็นการส่งสัญญาณว่า regulator ต้องคงความเชื่อมั่นไว้ให้ได้ตลอดเวลา เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์ผิดปกติ ความเชื่อมั่นมักจะหายไปอย่างเร็ว โดยเฉพาะในตลาดหุ้นเกิดใหม่
ฉะนั้น ในเรื่องความโปร่งใสและธรรมาภิบาล นอกจากกฎเกณฑ์ที่ต้องมีของภาครัฐแล้ว “ระดับความโปร่งใสของบริษัทจดทะเบียน” ก็เป็นอีกปัจจัยที่กำหนดเสถียรภาพของตลาดทุนไทย
ความเข้มแข็งของระบบการเปิดเผยข้อมูล (Disclosure) และมาตรฐานธรรมาภิบาลยังเป็นสิ่งที่ตลาดไทยต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แม้ปัจจุบันจะมีกลไกการตรวจสอบจากตลาดหลักทรัพย์, ก.ล.ต. และ ผู้สอบบัญชีอิสระ แต่ยังมีช่องว่างในเรื่อง “การเปิดเผยข้อมูลเชิงสมัครใจ” และ “ความรับผิดชอบของผู้บริหารต่อผู้ถือหุ้นรายย่อย” ที่ยังไม่ลึกเท่าตลาดพัฒนาแล้ว
ความโปร่งใสของบริษัทจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ช่วยให้ระบบกำกับดูแลไม่ต้องพึ่งพาการควบคุมจากภาครัฐเพียงด้านเดียว
ส่วนในมุมของตลาดหุ้นต่างประเทศ เชื่อว่าการมีข้อมูล-สภาพคล่อง-ระบบตรวจสอบ จะช่วยรักษาความเชื่อมั่นได้เอง
อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า “ตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงพัฒนาให้มีสมดุลระหว่างกลไกปกป้องกับการเปิดเสรี เพื่อให้ตลาดมีเสถียรภาพและแข่งขันได้ระดับสากล”
โดยปัจจุบัน เน้นการออกมาใช้แนวป้องกันหลายชั้น เพื่อรักษาเสถียรภาพตลาดและป้องกันเชิงผลกระทบเชิงระบบ และป้องกันความเสี่ยงเชิงพฤติกรรม
หากมองในเชิงจิตวิทยาตลาดหุ้นไทย เน้น “ระมัดระวัง” เพราะเชื่อว่าความผันผวนทำให้วิกฤตเกิดเร็ว ส่วนตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว มักปล่อยให้ตลาดเรียนรู้ และ ปล่อยนักลงทุนปรับตัว
เพียงแต่ว่าวันนี้นักลงทุนรายย่อยพร้อมหรือยังกับการเปิดอย่างอิสระเหมือนตลาดหุ้นต่างประเทศ พร้อมหรือยังที่จะยอมรับความเสี่ยง เมื่อเกิดความเสียหายแล้วจะไม่ไปโทษระบบ หรือโครงสร้าง แต่พร้อมจะยอมทบทวนว่าอะไรคือมูลเหตุที่แท้จริงของความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการลงทุนของตนเอง
อย่างไรก็ตาม เราคงปฏิเสธหนึ่งข้อสำคัญไม่ได้ว่า พื้นเพความรู้ ความเข้าใจ ของผู้ลงทุนในแต่ละตลาดหุ้น มักจะเป็นตัวกำหนดกฎเกณฑ์ของแต่ละตลาด ถ้ารายย่อยมีความพร้อมดังว่า ก็เชื่อว่ากฎเกณฑ์ต่างๆ ของตลาดหุ้นไทยก็จะถูกปรับเปลี่ยนไปตามพฤติกรรมของนักลงทุนนั่นเอง
เพราะภาพสะท้อนการมีกฎเกณฑ์ต่างๆ เกิดจากผลผลิตของการเรียกร้องของนักลงทุนในตลาดหุ้นนั้นๆ เปรียบเหมือนกฎหมายแต่ละเมือง แต่ละรัฐในต่างประเทศที่ถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องความเดือดร้อนในบ้านเมืองนั้นๆ เช่นกัน
ธิติ ภัทรยลรดี
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 พ.ย. 68)





