
การหลงผิด คาดหวังจะ “รวยทางลัด” จากการจองหุ้นไอพีโอ(IPO) ของนักลงทุนรายย่อย เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย
1. ความเชื่อที่ว่า “โอกาสทองครั้งแรก”
คำว่าหุ้นไอพีโอ คือ การเริ่มต้นใหม่ที่ไม่มีใครติดดอย นักลงทุนรายย่อยมักรู้สึกว่าได้เข้าเป็นเจ้าของก่อนใคร เหมือนซื้อของก่อนดัง หุ้นจะขึ้นแน่เมื่อเข้าตลาด
ภาพจำจากดีลเด่นในอดีต อาทิ หุ้นบางตัวเปิดบวก 50–100% วันแรก กลายเป็นตำนาน ทำให้คนทั่วไปจดจำแต่ “คนรวยเร็ว” , ความร่ำรวยที่ได้จากการจองหุ้นไอพีโอ
นอกจากนี้ ความรู้สึกพิเศษจากการจองหุ้นไอพีโอ ทำให้ความรู้สึกว่า “ได้สิทธิพิเศษ” เหมือนคนวงใน ทั้งที่จริงแล้วการกระจายหุ้นถูกขายออกไปให้คนอื่นๆ อีก ร่วมหมื่นคน
อีกทั้ง การกลัวตกรถ ยิ่งสื่อหรืออินฟลูเอนเซอร์พูดถึงมาก ยิ่งกลัวพลาดโอกาสที่อาจไม่มีอีกแล้ว
2.ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับกลไกหุ้นไอพีโอ
การคิดว่าการผ่านคุณสมบัติตามเงื่อนไขการเป็นบริษัทจดทะเบียนของ สำนักงาน ก.ล.ต. จะเป็นการการันตีกำไร
แต่แท้จริงแล้ว สำนักงาน ก.ล.ต. เป็นหน่วยงาน ที่ตรวจเอกสารให้ถูกกฎหมาย หรือตามเงื่อนไขของการเป็นบริษัทจดทะเบียน ไม่ได้เป็นการการันตีว่าราคาขายไอพีโอจะ “เหมาะสม” หรือ “มีความปลอดภัย”
โดยมองไอพีโอ เหมือนล็อตเตอรี่พรีเมียม คิดว่าจองได้เท่ากับได้กำไรแน่นอน ทั้งที่ราคาเปิดอาจต่ำกว่าราคาจอง
รวมถึงไม่เข้าใจว่า “ราคาเสนอขาย”ถูกกำหนดจากฝั่งคนขาย ไม่ใช่ตลาดเสรี
โดยส่วนใหญ่ บริษัทและที่ปรึกษาทางการเงิน พยายามกำหนดราคาขายหุ้นไอพีโอให้ได้มูลค่าระดมทุนสูงสุด แต่ไม่ใช่ราคาถูกที่สุด
3. บริบทตลาดและสื่อที่ “เร่งอารมณ์”
ข้อมูลข่าวสาร และสื่อทางการเงิน
มักเน้น “ยอดจองล้น”, “กระแสแรง”, “ชื่อเสียงเจ้าของ” สร้างภาพหุ้นฮอต
รวมถึง โบรกเกอร์บางรายมีผลประโยชน์ทางตรง เช่น ร่วมจัดจำหน่าย หรือได้ค่านายหน้า ทำให้สื่อสารแต่ด้านบวก
บรรยากาศในตลาดช่วงขาขึ้น ถ้าโดยรวมตลาดดี หุ้นใหม่มักเปิดบวก ทำให้ความคาดหวังมั่นคง และมีโอกาสทำกำไรสูง ทั้งที่ภาวะของตลาดหุ้น มักมีการเปลี่ยนแปลงที่เร็วเสมอ
โครงสร้างเกี่ยวกับหุ้นไอพีโอที่ควรรู้
ความหมายของหุ้นไอพีโอ แปลให้เป็นภาษาชาวบ้านง่ายๆ คือ บริษัท “ขายหุ้นใหม่” ให้สาธารณะครั้งแรก เพื่อนำเงินไปขยายธุรกิจ ,ปรับโครงสร้างทุน
ราคาเสนอขายจะถูกกำหนดร่วมกันระหว่าง เจ้าของบริษัท-ที่ปรึกษา-ผู้จัดจำหน่าย ผ่านกระบวนการในรูปแบบต่างๆ โดยมีเป้าหมายในการขายหุ้นให้หมด
และจะ”ไม่การันตี” ว่าหลังเข้าซื้อขาย ราคาหุ้นจะสูงกว่าราคาไอพีโอ
สำหรับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กับ สำนักงาน ก.ล.ต. ในฐานะที่เป็น Regulators จะมีหน้าที่ตรวจความครบถ้วน ความถูกต้องของเอกสารให้ตรงตามเกณฑ์การเป็นบริษัทจดทะเบียน และไม่ได้เป็นการอนุมัติว่าราคาจองไอพีโอ จะมี “ความคุ้มค่าในราคาหุ้น”
นักลงทุน จะเป็นคนตัดสินใจกับราคาไอพีโอ การบริหารจัดการความเสี่ยง จากข้อมูลที่ออกมาโดยตลาดหลักทรัพย์ฯ และสำนักงานก.ล.ต.
ถ้าจองหุ้นไอพีโอแล้วขาดทุน จะโทษใครได้บ้าง?
หากดูจากโครสร้างที่เกี่ยวข้องกับหุ้นไอพีโอ จะพบว่า “การโทษ” หรือ “ความผิด” จะกระจายกันคนละนิด แต่ “อำนาจสุดท้าย” อยู่ที่นักลงทุน
เราสามารถแยก “พายแห่งความผิด” (Blame Pie) ในการมองหาสาเหตุของปัญหาที่เกิดความเสียหายจากหุ้นไอพีโอต่ำจอง อย่างมีสติและเป็นระบบ
1.”โทษ” สภาพบรรยากาศของตลาด ทั้งในและต่างประเทศได้ ในสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 20-40%
โดยวิธีเลี่ยงได้ด้วยการเลือกจังหวะ และไม่เสี่ยงเข้าไปไล่ราคา
2. “โทษ”การตั้งราคา โดยเจ้าของบริษัท-อันเดอร์ไรเตอร์ ในสัดส่วนประมาณ 10-30%
โดยวิธีเลี่ยง คือ จะการไม่ซื้อหุ้นแพงกว่าพื้นฐานตามที่เราได้กำหนดไว้
3.”โทษ” การให้ข้อมูล การโปรโมตเกินจริง ของสื่อต่างๆ หรือ เพจที่รับจ้างมาเชียร์ ในสัดส่วนประมาณ 0-20%
โดยใช้วิธีการตรวจสอบที่มา และ อ่านแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) จากเว็บไซต์ของ สำนักงานก.ล.ต. ด้วยตัวเอง
4.”โทษ” วินัยของตัวเองว่าไม่มีการบริหารการจัดการที่ดี , แผนเทรด, อคติ, ไม่ทำการบ้าน, การใช้หูเล่นหุ้น ไม่ได้ใช้สมอง หรือ สติปัญญาในการศึกษาข้อมูล ฯลฯ สัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 30-50%
อย่างไรก็ตาม สัดส่วนดังกล่าวไม่ได้ตายตัว แต่ช่วยเตือนว่า “ส่วนที่เราควบคุมได้” มักใหญ่สุดคือ ตัวของนักลงทุนเอง
ทำไมไอพีโอ “ร่วง”หลังเข้าเทรด
ราคาไอพีโอตั้งสูงไป ได้อานิสงส์จากกระแส หรือมีสตอรี่ ทำให้ valuation ตึงตัว พอเข้าซื้อขายจริง ตลาดปรับกลับสู่พื้นฐาน
สภาพตลาดโดยรวมไม่เอื้อ ช่วงดอกเบี้ยสูง เสี่ยงเศรษฐกิจ ราคาทรัพย์สินถูก de-rate ทั้งกระดาน ทำให้ราคาหุ้นไอพีโอที่ตั้งไว้เต็มมูลค่า ไม่สามารถไปต่อได้อีก
แนวโน้ม “รายได้-กำไร “พีกก่อนเข้าตลาด โดยตัวเลข 1-2 ปีย้อนหลังก่อนเข้าตลาดถูก “แต่งให้สวย” ด้วยออเดอร์พิเศษ หรือ ต้นทุนที่ยังไม่เต็มรูป
แรงสนับสนุน หลังเข้าตลาดหมดเร็ว (เจ้าของกระสุนหมด) ช่วงแรกอาจมีการพยุงราคา แต่พอระยะเวลาผ่านไป ต้องเผชิญกับแรงอุปสงค์ที่เป็นของจริง
รวมถึง พฤติกรรมของนักลงทุน ที่ต้องการ จองเพราะกลัวตกรถ เมื่อหุ้นเปิดกระโดด ก็แย่งกันขาย และเมื่อเห็นแดง ยิ่งแย่งกันเทขาย
1. พื้นฐาน รายได้-กำไร 8 ไตรมาสย้อนหลัง มีการเติบโตจริงหรือไม่ รวมถึง การมีอัตรากำไรที่ยั่งยืน
2. มูลค่าพื้นฐาน (Valuation)เทียบค่า P/E, EV/EBITDA กับคู่แข่งที่จดทะเบียนแล้ว ว่าแพงเกินเหตุหรือไม่?
3. เงินระดมทุนเอาไปทำอะไร ขยายกิจการจริง หรือเอาไปไถ่หนี้ หรือ แม้แต่ การนำไปซื้อสินทรัพย์จากบุคคลที่เกี่ยวข้อง
4. โครงสร้างผู้ถือหุ้น ใครเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ มี Lock up หรือไม่ ปลดล็อกเมื่อไร?
5. ความเสี่ยงหลักทางด้านธุรกิจ ลูกค้ากระจุก? มีใบอนุญาต หรือสัญญาสัมปทานรัฐ
ท้ายสุด การตัดสินใจจองหุ้นไอพีโอ คือ “ตัวเราเอง” หน้าที่ของเจ้าของ-อันเดอร์ไรเตอร์-หน่วยงานกำกับ ไม่ใช่ตัวการันตีการมีกำไรจากหุ้นไอพีโอ
การประเมินศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ประเมินความเสี่ยง การประเมินราคาต่างหากคือ หนทางที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนหุ้นไอพีโอ
ธิติ ภัทรยลรดี
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 พ.ย. 68)





