เพื่อไทย ตั้งคำถาม แก้รธน.เดินต่อแบบไหน? ห่วงที่มา กมธ. ล็อกสเปค

นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม กล่าวถึง

กรณีกมธ.แก้รัฐธรรมนูญมีมติตัดทิ้งเนื้อหาเกี่ยวกับสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) โดยใช้ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญอย่างเดียว ตนขอตั้งคำถามว่าที่มาของ กมธ.เป็นอย่างไร ซึ่งยังไม่มีการตัดสินเลย กมธ.ในร่างของพรรคประชาชนใช้วิธีให้สมัครและประชาชนเลือกตั้ง แต่ถ้าจะตัดเลือกตั้งออกเราจึงถามว่ามาอย่างไร เพราะพรรคเพื่อไทยคิดว่า การเลือกโดยประชาชนไม่ใช่การเลือกตั้งผู้ร่างโดยตรงที่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

“ดังนั้นประเด็นที่ตัด สสร.ว่ามีการเลือกตั้งหรือไม่เลือกตั้งไม่เกี่ยวกัน ผมอยากจะฟังในที่ประชุมกมธ.วันนี้ว่า กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญที่จะเสนอมาใช้รูปแบบใด ซึ่งผมเดาว่า ท้ายที่สุดเขาคงตัดเลือกตั้งออก หากเป็นแบบนั้นจะไปอย่างไร ซึ่งพรรคเพื่อไทยเห็นมาโดยตลอดว่าการมีสสร. ที่ประชาชนเลือกมาชั้นหนึ่งแล้ว ไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ”นายชูศักดิ์ กล่าว

ส่วนกรณีนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะ กมธ.ฯ ระบุว่า สสร.ที่พรรคเพื่อไทยเสนอมาจาก สส. และ สว. ทำให้มีความห่างจากประชาชนนั้น นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ร่างเดิมของพรรคเพื่อไทยเลือกมาจากประชาชน และยังไม่ได้ตัดสินว่าจะเอาแบบไหน นายพริษฐ์ก็ยังไม่ได้ตัดสินว่า กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญมาอย่างไร ที่ตัดสินกันไปแล้วเมื่อวันที่ 12 พ.ย.คือสภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง

วันนี้ที่ประชุมจึงต้องพิจารณากันว่าจะใช้ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญจากไหน จะเสนอยืนยันตามร่างเดิมของพรรคประชาชนหรือไม่ หรือจะตัดที่มาจากประชาชนออก และต้องถามว่าประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้องตรงไหน แต่เท่าที่ฟัง คือให้มีบุคคลไปสมัครและส่งรายชื่อมาให้รัฐสภาเลือก ส่วนจะเป็นการล็อกสเปคได้หรือไม่นั้น เมื่อวานนี้ได้พูดประเด็นนี้กันทั้งวันว่าจะป้องกันการล็อกสเปคอย่างไร นายพริษฐ์ก็เสนอโมเดล 20 หยิบ 1 คำถามคือจะป้องกันได้จริงหรือไม่

ส่วนการเปิดประชุมสมัยวิสามัญควรมีขึ้นก่อนเปิดสมัยประชุมสภา ซึ่งควรจะเป็นช่วงวันที่ 8 -10 ธ.ค.68 เพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านวาระ 2 ส่วนการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น พรรคเพื่อไทยยังไม่ได้พิจารณาว่าจะเป็นเมื่อไหร่ เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นเรื่องใหญ่ต้องไปคุยกันว่าไทม์มิ่งจะเป็นเมื่อไหร่

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (13 พ.ย. 68)