
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) เดือนต.ค.68 พบว่า อยู่ที่ระดับ 51.9 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 เนื่องจากความชัดเจนจากการมีรัฐบาลใหม่ โดยผู้บริโภคเริ่มมีความหวัง และมีความเชื่อมั่นว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยในระยะสั้นสามารถฟื้นตัวขึ้นได้ แม้จะยังมีความกังวลเรื่องผลกระทบทางการค้าจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่อาจทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ช้าก็ตาม
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวม อยู่ที่ 45.5 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางาน อยู่ที่ 49.6 และดัชนความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 60.6 โดยดัชนีทุกรายการ ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 เช่นกัน

พร้อมกันนี้ ผู้บริโภค เริ่มมีความหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้จากโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” และนโยบายอื่น ๆ ของรัฐบาล ซึ่งจะต้องตามดูสถานการณ์ต่อไปว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนถัดไป (พ.ย.68) จะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องมากน้อยเพียงใด
อย่างไรก็ดี คาดว่าผู้บริโภคจะเริ่มจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นในไตรมาสที่ 4 นี้ ซึ่งเป็นช่วงของระยะเวลาโครงการ “คนละครึ่ง พลัส”
ปัจจัยบวกที่สำคัญ ได้แก่
1.การเมืองในประเทศมีความชัดเจนขึ้น หลังมีรัฐบาลใหม่ภายใต้การบริหารของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย และการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งช่วยหนุนความเชื่อมั่นต่อบรรยากาศการลงทุน และภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
2. รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ซึ่งเป็นการเพิ่มกำลังซื้อและลดรายจ่ายให้แก่ประชาชน รวมถึงโครงการ “เที่ยวดีมีคืน” ที่นำค่าใช้จ่ายจากการท่องเที่ยวไปหักลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวในประเทศให้เติบโตขึ้น
3. คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.50%
4. กระทรวงการคลัง ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 68 ขึ้นเป็น 2.4% จากเดิมคาด 2.2% เนื่องจากมองว่ารัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี อีกทั้งการส่งออกของไทยยังสามารถขยายตัวได้มากกว่าที่คาด
5. การส่งออกของไทยในเดือนก.ย.68 ขยายตัวสูงถึง 19% และเกินดุลการค้ากว่า 1,200 ล้านดอลลาร์
6. ครม.เห็นชอบการขยายเวลาคงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ 7% ออกไปอีก 1 ปี
7. เงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อย ซึ่งช่วยสนับสนุนการส่งออกและการท่องเที่ยว
ส่วนปัจจัยลบที่สำคัญ ได้แก่
1. ผู้บริโภคยังรู้สึกว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ช้า และมองว่ารายได้ในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น
2. ความกังวลต่อสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดของประเทศ ทั้งภาคเหนือ และภาคกลาง ซึ่งกระทบต่อบ้านเรือน และพื้นที่ทางการเกษตร
3. ราคาสินค้าเกษตร เช่น ข้าวเปลือก ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ยางพารา อยู่ในระดับต่ำกว่าปีก่อน
4. กังวลปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กระทบต่อบรรยากาศการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวให้ชะงักงัน
5. ความกังวลต่อความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยังคงยืดเยื้อ ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอล-กลุ่มฮามาส ซึ่งอาจส่งผลต่อราคาน้ำมันตลาดโลกให้ปรับตัวสูงขึ้น
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น หลังจากเริ่มรับรู้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ที่เริ่มมีการใช้จ่ายได้ในช่วงปลายเดือนต.ค.-ธ.ค.68 รวมทั้งโครงการ “เที่ยวดีมีคืน” ที่ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศทั้งเมืองหลัก-เมืองรอง ตลอดจนการเติมเงินเพิ่มให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
โดยทั้งหมดนี้ มีส่วนทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 4/68 ขยายตัวได้ราว 0.6-1.1% ซึ่งสอดคล้องกับที่นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ประเมินว่าโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมาในช่วงนี้ จะช่วยทำให้ GDP ไตรมาส 4 ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 1.1% ได้ จากก่อนหน้านี้ ที่มองว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงดังกล่าวอาจจะติดหล่ม และขยายตัวได้เพียง 0.3% เท่านั้น
พร้อมเชื่อว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบัน มีแนวโน้มจะหยุดทรุดตัวลง หากในเดือนพ.ย.ไม่มีสถานการณ์เชิงลบที่เข้ามาพลิกผันอย่างรุนแรง
“เราคาดว่า GDP ไตรมาส 4 มีโอกาสโตได้ 0.6-1.1% ค่ากลางที่ 0.8% จากการที่รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาหลายชุด ซึ่งทำให้มีความเป็นไปได้ที่ช่วงครึ่งปีหลังนี้ เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 1.1-1.5% ส่งผลให้ทั้งปี มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะโตได้มากกว่า 2.2% ดังนั้น ที่กระทรวงการคลังคาดการณ์ไว้ว่า ปี 68 นี้ เศรษฐกิจจะโตได้ 2.4% จึงมีความเป็นไปได้มาก” นายธนวรรธน์ ระบุ
อย่างไรก็ดี คงต้องจับตาในช่วงรอยต่อ หลังจากที่รัฐบาลอนุทิน ประกาศจะยุบสภาในช่วงปลายเดือนม.ค.69 ซึ่งจะเป็นช่วงสุญญากาศไปจนถึงประมาณเดือนพ.ค. จนกว่าจะเลือกตั้งและมีรัฐบาลชุดใหม่มาบริหารประเทศ โดยจะต้องติดตามการใช้งบประมาณปี 69 ว่าจะมีเม็ดเงินในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้ามาเพิ่มเติมหรือไม่ เพื่อช่วยประคองและรักษาโมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยไว้ในช่วงรอยต่อก่อนที่จะมีรัฐบาลใหม่
“ต้องดูว่ารัฐบาลปัจจุบัน จะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมไว้หรือไม่ เช่น คนละครึ่งพลัส เฟส 2 เพื่อเป็นการพยุงเศรษฐกิจในช่วงระหว่างเลือกตั้ง (หากมีการยุบสภาปลาย ม.ค.69 ก่อนที่คาดว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่ราว พ.ค.69) ซึ่งจะได้มีเม็ดเงินจากโครงการ มาช่วยประคอง และต่อโมเมนตัมเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 1 ของปีหน้า ที่เป็นช่วงสุญญากาศไว้ได้” นายธนวรรธน์ ระบุ
ส่วนเศรษฐกิจไทยในปี 69 นั้น นายธนวรรธน์ มองว่า ยังมีความน่าเป็นห่วง ซึ่งหลายหน่วยงานต่างประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้า จะเติบโตได้น้อยกว่าปีนี้ เนื่องจากมีช่วงสุญญาการทางการเมือง จากการที่มีเลือกตั้ง และต้องรอกระบวนการในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ทำให้ในช่วงเดือน ก.พ.-พ.ค.69 การใช้งบประมาณจะยังเป็นโครงสร้างเดิมของรัฐบาลเก่า (รัฐบาลอนุทิน)
ดังนั้น ในระหว่างนี้ รัฐบาลควรเร่งรัดการประมูลและจัดซื้อจัดจ้างก่อนที่จะประกาศยุบสภา และติดตามเร่งรัดการลงทุนและการเบิกจ่ายงบประมาณ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยจากที่คนยังมองถึงความไม่ชัดเจนของผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์จะมีมากขึ้นหรือไม่ รวมทั้งเมื่อมีรัฐบาลใหม่แล้ว จะมีนโยบายขับเคลื่อนประเทศไทยอย่างไร
“ในช่วงยุบสภา จะไม่สามารถผ่านวาระ 1 ของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ (ปี 70) ได้ ดังนั้นยังไม่รู้ว่างบประมาณปี 70 จะเริ่มต้นได้เมื่อไร (ปกติจะผ่านการพิจารณาของสภาฯ วาระ 1 ในเดือนพ.ค. และลงราชกิจจานุเบกษาในเดือนก.ย.) แต่การทำงบประมาณใหม่ ภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ อาจมีความเป็นไปได้ที่จะล่าช้าออกไปถึงเดือนธ.ค.เป็นอย่างเร็ว ดังนั้นตั้งแต่ช่วง พ.ค.69 ก็ต้องเร่งใช้งบประมาณเก่าไปพลางก่อน การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะเริ่มได้อีกครั้ง ก็น่าจะเป็นช่วงมิ.ย. ดังนั้นจึงเป็นจุดเปราะบางของเศรษฐกิจไทยปีหน้า” นายธนวรรธน์ ระบุ
ทั้งนี้ ม.หอการค้าไทย ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 69 คาดว่าจะขยายตัวได้ราว 2%
พร้อมมองว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นการเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารของประเทศ ซึ่งทุกพรรคการเมือง ต่างต้องการเป็นพรรคอันดับ 1 เพื่อเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล จึงมีความจำเป็นจะต้องได้จำนวนที่นั่ง สส.ในสภาฯ ให้ได้มากที่สุด ดังนั้นจะทำให้การหาเสียงเลือกตั้งในปีหน้าเป็นการแข่งขันกันอย่างเข้มข้น ส่งผลให้เม็ดเงินน่าจะสะพัดทั่วประเทศในช่วงไตรมาส 1/69 อย่างน้อย 4-5 หมื่นล้านบาท
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 พ.ย. 68)





