
ข้อมูลล่าสุดของเอสแอนด์พี โกลบอล (S&P Global) ระบุว่า การยื่นล้มละลายของบริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ มีแนวโน้มพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี ซึ่งตอกย้ำถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นของภาคธุรกิจอเมริกัน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่นักลงทุนในตลาดมีความอ่อนไหวเป็นอย่างมาก
S&P Global ระบุในรายงานที่มีการเผยแพร่ในวันพฤหัสบดี (13 พ.ย.) ว่า จำนวนบริษัทที่ยื่นล้มละลายในปี 2568 ที่นับจนถึงเดือนต.ค.นั้น สูงถึง 655 ราย เทียบกับตลอดปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 687 ราย โดยในเดือนต.ค.เพียงเดือนเดียวนั้น มีบริษัทที่ยื่นล้มละลายจำนวน 68 ราย หลังจากที่มีการยื่นล้มละลายจำนวน 76 รายในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นตัวเลขรายเดือนที่สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2563
บริษัทในภาคอุตสาหกรรมมีการยื่นล้มละลายมากที่สุดในปีนี้ โดยมีจำนวน 98 ราย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ามาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะชะงักงันของห่วงโซ่อุปทาน ตามด้วยบริษัทในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยซึ่งมีจำนวนการยื่นล้มละลาย 80 รายในปีนี้
นอกจากนี้ รายงานของ S&P Global ยังระบุว่า การยื่นล้มละลายทั่วสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นทุก ๆ ปีนับตั้งแต่ปี 2565 อันเป็นช่วงเวลาที่ภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูงสุดในรอบหลายสิบปี ผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ทั้งนี้ แม้ว่าผลกระทบอย่างเต็มรูปแบบจากของมาตรการภาษีศุลกากรของรัฐบาลทรัมป์ยังคงไม่แน่ชัด แต่ธุรกิจต่าง ๆ ก็เริ่มได้รับผลกระทบแล้วจากต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวกำลังสร้างแรงกดดันต่อผู้บริโภคกลุ่มรายได้น้อยที่ยังคงต้องต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อสูงและตลาดแรงงานที่อ่อนแอลง
ในช่วงกลางเดือนก.ย.ที่ผ่านมา กระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาสินเชื่อได้ทำให้ตลาดสินเชื่อทั่วโลก ซึ่งมีมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ตกเป็นเป้าสนใจอีกครั้ง เมื่อบริษัทเฟิร์สต์ แบรนด์ส (First Brands) ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ได้ยื่นล้มละลายหลังจากเปิดเผยตัวเลขหนี้สินสูงกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสร้างความตื่นตระหนกให้กับนักลงทุนในตลาด
ขณะที่ไตรคัลเลอร์ โฮลดิ้งส์ (Tricolor Holdings) ซึ่งเป็นบริษัทปล่อยสินเชื่อรถยนต์ซับไพรม์ได้ยื่นล้มละลายในเดือนก.ย.เช่นกัน ส่งผลให้ธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค (JPMorgan Chase & Co.) ต้องตัดหนี้สูญเป็นมูลค่าถึง 170 ล้านดอลลาร์
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 พ.ย. 68)





