ดัชนีเชื่อมั่นหอการค้าฯ ต.ค.ขยับขึ้นเล็กน้อย “คนละครึ่ง พลัส” หนุนบริโภคกระเตื้อง

นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (TCC INDEX) เดือนต.ค. 68 อยู่ที่ระดับ 44.1 เพิ่มขึ้นจากเดือนก.ย. ซึ่งดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 44.0

โดยดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ฟื้นตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน นับตั้งแต่เดือนก.พ.68 โดยดัชนีในแต่ละ Item ส่วนใหญ่ยังชะลอตัว มีเพียงดัชนีที่เกี่ยวกับการบริโภคที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ตอบว่า “ดีขึ้น” มากกว่า “แย่ลง” ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ที่เริ่มเข้ามาในช่วงปลายเดือนต.ค.68

“การฟื้นตัวครั้งนี้ อาจจะยังไม่ชัดเจนมากนัก ต้องรอดูดัชนีฯ ในเดือนพ.ย.อีกครั้ง ว่าผลเต็ม ๆ ของโครงการคนละครึ่งพลัส และเที่ยวดีมีคืน จะส่งผลต่อผู้ประกอบการมากน้อยเพียงใด” นายวชิร ระบุ

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ในแต่ละภูมิภาค เป็นดังนี้

  • กรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ 45.2 เพิ่มขึ้นจากเดือนก.ย. ซึ่งอยู่ที่ 44.9
  • ภาคกลาง อยู่ที่ 44.2 เพิ่มขึ้นจากเดือนก.ย. ซึ่งอยู่ที่ 44.1
  • ภาคตะวันออก อยู่ที่ 48.5 เพิ่มขึ้นจากเดือนก.ย. ซึ่งอยู่ที่ 48.3
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ 42.1 ลดลงจากเดือนก.ย. ซึ่งอยู่ที่ 42.3
  • ภาคเหนือ อยู่ที่ 44.7 ลดลงจากเดือนก.ย. ซึ่งอยู่ที่ 44.8
  • ภาคใต้ อยู่ที่ 43.9 เพิ่มขึ้นจากเดือนก.ย. ซึ่งอยู่ที่ 43.6

*ปัจจัยบวก ได้แก่

  • ปัจจัยการเมืองในประเทศเริ่มมีความชัดเจนขึ้น หลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 68 พร้อมทั้งได้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะหนุนความเชื่อมั่น บรรยากาศการลงทุน และภาวะเศรษฐกิจโดยรวม
  • รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ครอบคลุมประชาชน 20 ล้านคน เพื่อเพิ่มกำลังซื้อ ลดรายจ่ายและกระจายรายได้สู่ร้านค้าท้องถิ่น
  • มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวจากภาครัฐ ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการท่องเที่ยวภายในประเทศ เช่น ค่าที่พัก และค่าอาหาร มาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้
  • ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี
  • SET Index เดือน ก.ย. 68 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 35.33 จุด จาก 1,274.17 ณ สิ้นเดือน ก.ย. 68 เป็น 1,309.50 ณ สิ้นเดือน ต.ค. 68
  • การส่งออกของไทยเดือน ก.ย. 68 ขยายตัว 19.0% มูลค่าอยู่ที่ 30,970.70 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และการนำเข้าเพิ่มขึ้น 17.2% มีมูลค่าอยู่ที่ 29,695.55 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้าอยู่ที่ 1,275.15 ล้านดอลลาร์
  • ราคาน้ำมันขายปลีกแก๊สโซฮอล ออกเทน 91 (E10) และแก๊สโซฮอล ออกเทน 95 ในประเทศปรับตัวลดลงประมาณ 0.80 บาทต่อลิตร จากเดือนที่ผ่านมา อยู่ที่ระดับ 31.48 และ 31.85 บาทต่อลิตร ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลขายปลีก ปรับตัวลดลงประมาณ 1.00 บาทต่อลิตรจากเดือนที่มา โดยอยู่ที่ระดับ 30.94 บาทต่อลิตร ณ สิ้นเดือน ต.ค. 68
  • เงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลงเล็กน้อย จากระดับ 32.006 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นเดือน ก.ย. 68 เป็น 32.551 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นเดือน ต.ค. 68 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการส่งออกและกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจโดยรวมของไทย

*ปัจจัยลบ ได้แก่

  • ความกังวลต่อสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในภาคเหนือ และภาคกลาง ที่สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงผลผลิตทางการเกษตร
  • สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยังคงเฝ้าระวังการเกิดเหตุรุนแรงจากฝั่งตรงข้ามบริเวณตามแนวเขตชายแดน ส่งผลให้เกิดความหวาดกลัว และการเตรียมตัวอพยพของประชาชน รวมถึงการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุน ที่ต้องหยุดชะงักบริเวณพื้นที่ชายแดน
  • เศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า ตลอดจนปัญหาค่าครองชีพ ส่งผลกระทบต่อยอดขายของธุรกิจที่อาจไม่เติบโต ซึ่งรายได้ในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น
  • ความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยังคงยืดเยื้อ ทั้งสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับขบวนการฮามาส
  • ราคาข้าวเปลือกเจ้า ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง และยางพารา อยู่ในระดับต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่มากนัก มีผลต่อกำลังซื้อในบางพื้นที่ต่างจังหวัดในระยะนี้
  • ปัญหาเรื่องต้นทุนของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะเรื่องของค่าแรงขึ้น
  • ภาคธุรกิจมีความรู้สึกว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า ตลอดจนปัญหาสภาพคล่องทางการเงินที่ยังไม่ดีเท่าที่ควร อีกทั้งผู้บริโภคยังรู้สึกว่ารายได้ในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น

 

*แนวทางการดำเนินการในการแก้ไขปัญหา

1. มาตรการป้องกันและเยียวยากับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น ทั้งภาคประชาชน และธุรกิจ

2. แนวทางแก้ไขความขัดแย้งบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นตัว รวมทั้งการบริหารจัดการการค้าชายแดน

3. แนวทางเร่งแก้ปัญหาหนี้ในระบบและนอกระบบ โดยการปรับโครงสร้างหนี้ และขยายวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ

4. การสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุน และส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่สามารถแข่งขันได้กับประเทศอื่น

5. การส่งเสริมเทคโนโลยี/นวัตกรรม สำหรับภาคธุรกิจในการแปรรูปสินค้าเกษตรตกเกรด ให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น

6. การรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อการส่งออก และภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน

7. มาตรการส่งเสริมช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อช่วยลดขั้นตอนต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นลง

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 พ.ย. 68)