
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เป็นประธานในการจัดงานแถลงนโยบายในการขับเคลื่อนมาตรการการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (Quick Big Win in Anti-Drug Trafficking) ของกรมศุลกากร โดยระบุว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำว่า รัฐบาลชุดนี้จะไม่ผ่อนปรนต่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทุกรูปแบบ พร้อมดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อปกป้องสังคมและรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ
โดยมุ่งให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในระยะเวลาอันสั้น ตามนโยบายของรัฐบาล “Quick Big Win” และเชื่อมั่นว่าการได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน รวมไปถึงหน่วยงานต่างประเทศ จะสามารถทำให้ประเทศไทยปลอดจากภัยยาเสพติด และป้องกันมิให้กลุ่มบุคคลผู้ไม่พึงประสงค์ ใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการก่ออาชญากรรม ซึ่งจะส่งเสริมภาพลักษณ์อันดีของประเทศไทยในเวทีโลก
สำหรับกรมศุลกากร ในฐานะหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของกระทรวงการคลัง ซึ่งทำหน้าที่เป็นด่านหน้าของประเทศในการสกัดกั้นการลักลอบยาเสพติด ทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ ได้แสดงเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นอย่างจริงจัง ในการร่วมแก้ปัญหายาเสพติดของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดมาตรการเชิงรุก เพื่อป้องกันและปราบปรามมิให้มีการใช้ช่องทางการค้าระหว่างประเทศ และป้องกันไม่ให้ประเทศไทยเป็นฐานของอาชญากรในการลักลอบลำเลียงยาเสพติดให้โทษ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า กรมศุลกากร ได้จัดงานแถลงนโยบายในการขับเคลื่อนมาตรการการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (Quick Big Win in Anti-Drug Trafficking) เนื่องจากปัญหายาเสพติด ถือเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน ความปลอดภัยของสังคม และความมั่นคงของประเทศ ตลอดจนภาพลักษณ์ของประเทศไทยในประชาคมโลก
จากสถานการณ์ยาเสพติดของประเทศไทย ยังคงอยู่ในสถานะที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยที่ผ่านมา พบว่ายังมีการลักลอบนำเข้ายาเสพติดในหลายช่องทาง อีกทั้งยังเป็นเป้าหมายของเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่ใช้ประเทศไทยเป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติด เพื่อส่งต่อไปยังต่างประเทศ
ด้วยเหตุนี้ กรมศุลกากร จึงเร่งพัฒนาแนวทางการทำงานในทุกมิติ เพื่อป้องกันและสกัดกั้นการลักลอบยาเสพติด และสิ่งผิดกฎหมาย ผ่านการกำหนดมาตรการเชิงรุก ในการปฏิบัติงานด้านป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้เกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลสูงสุด ทั้งหมดนี้เป็นการตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาล “Quick Big Win” โดยกรมศุลกากร ได้แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 มิติ ดังนี้
มิติที่ 1 ความร่วมมือเชิงรุกกับผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทาน ปรับเปลี่ยนแนวทางการตรวจสินค้าที่มีความเสี่ยงสูง จากการตรวจค้น ณ จุดผ่านแดนหรือจุดนำเข้าส่งออก เป็นการดำเนินการเชิงรุก โดยทำงานร่วมกับผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทาน ทั้งรายใหญ่และรายย่อย รวมถึงภาคธุรกิจขนส่ง และโลจิสติกส์ DHL, FedEx, UPS, ไปรษณีย์ไทย และบริษัท Freight Forwarder ต่าง ๆ โดยเข้าไปให้ข้อมูลความเสี่ยงเกี่ยวกับรูปแบบและวิธีการในการกระทำความผิดด้านยาเสพติด รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลการข่าวระหว่างกัน ทำให้กรมศุลกากร สามารถตรวจค้นและสกัดกั้นสินค้าต้องสงสัยได้ตั้งแต่ต้นทาง ก่อนเข้าสู่กระบวนการศุลกากร
มิติที่ 2 ความร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต่างประเทศ สร้างพันธมิตรกับหน่วยงานต่างประเทศ เช่น สำนักงานพิทักษ์เขตแดนแห่งออสเตรเลีย (Australia Border Force: ABF) กองกำลังป้องกันชายแดนแห่งสหราชอาณาจักร (UK Border Force: UKBF) สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ศุลกากรนิวซีแลนด์ เกาหลี ญี่ปุ่น เยอรมนี ฝรั่งเศส แคนาดา รวมถึง สำนักงานปราบปรามยาเสพติด (DEA) และสำนักงานสืบสวนเพื่อความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (HSI) ของสหรัฐอเมริกา เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและปฏิบัติการร่วมกัน หรือ Joint Operation เพื่อสกัดกั้นขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติอย่างมีประสิทธิภาพ
มิติที่ 3 การสืบสวนขยายผลและการดำเนินคดี กรมศุลกากร จะไม่ยุติการดำเนินการเพียงแค่การยึดยาเสพติด ณ จุดผ่านแดนเท่านั้น แต่จะรวบรวมข้อมูลผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภายใต้คณะทำงานสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด ณ ท่าอากาศยานสากล (Airport Interdiction Task Force: AITF) และท่าเรือสากล (Seaport Interdiction Task Force: SITF) ได้แก่ สำนักงาน ป.ป.ส. กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และการท่าเรือแห่งประเทศไทย สำหรับสืบสวนและดำเนินคดี เพื่อทำลายเครือข่ายอาชญากรรมยาเสพติดทั้งระบบ
นายพันธ์ทอง กล่าวว่า จากมาตรการทั้ง 3 มิติที่ได้กล่าวมา กรมศุลกากร ได้กำหนดกิจกรรมต่าง ๆ ไว้เพื่อรองรับและขับเคลื่อนมาตรการในการป้องกัน ปราบปราม และสกัดกั้นการลักลอบยาเสพติด ให้เห็นผลภายใน 4 เดือน เช่น
1. ปฏิบัติการความร่วมมือกับสำนักงานพิทักษ์เขตแดนแห่งออสเตรเลีย เพื่อป้องกันและปราบปรามด้านยาเสพติด ไม่ให้ไทยถูกใช้เป็นฐานลักลอบยาเสพติดส่งไปออสเตรเลีย โดยจะเริ่มปฏิบัติการวันในวันที่ 15 พ.ย. 68
2. ปฏิบัติการร่วมกับศุลกากรเกาหลีใต้ ในลักษณะเดียวกัน ในปี 2569
3. การขยายพื้นที่การใช้สุนัขดมกลิ่น (K-9) เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ปฏิบัติงานหลัก เช่น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง คลังสินค้าสุวรรณภูมิ ศูนย์ไปรษณีย์หลักสี่ และสุวรรณภูมิ รวมถึงคลังสินค้าของผู้ให้บริการขนส่งเอกชน
4. เปิดศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านยาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมายภาคใต้ (Narcotics and Contrabands Interdiction Unit) ณ ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต ในต้นเดือนธ.ค.68 เพื่อสกัดการลักลอบขนยาเสพติดและสินค้าผิดกฎหมายผ่านสนามบินรอง ด้วยระบบตรวจสอบผู้โดยสารที่ทันสมัย
อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า การปราบปรามยาเสพติดและสินค้าผิดกฎหมาย เป็นภารกิจที่กรมศุลกากรไม่อาจดำเนินการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้โดยลำพัง จำเป็นต้องอาศัยการบูรณาการความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงภาคธุรกิจการขนส่ง เพื่อสกัดกั้นการลักลอบขนยาเสพติด และทำลายเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ
“การบูรณาการดังกล่าว ช่วยให้การปราบปรามยาเสพติด และสินค้าผิดกฎหมายอื่น ๆ มีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยกรมศุลกากร จะมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพ เสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทันสมัย เพื่อปกป้องประเทศจากภัยเหล่านี้” นายพันธ์ทอง ระบุ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 พ.ย. 68)





