
นางทวิรัศมิ์ โฆษิตบันเทิง ผู้จัดการฝ่าย การเงินองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล [PTTGC] เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินงานในปี 69 โดยคาดว่าปริมาณของโรงกลั่นจะเพิ่มขึ้นราว 18% จากปี 68 เนื่องจากปีหน้าไม่มีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น ขณะที่ปิโตรเคมีมีปัจจัยบวกจากที่บริษัทคาดว่าจะรับฟีดสต็อกอีเทนเพิ่มขึ้นจากปี 68 จำนวน 1.8 ล้านตัน เป็น 1.9 ล้านตันในปีหน้า ทำให้ภาพรวมปริมาณปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น 11%YoY โดยปริมาณการกลั่นและปิ๖รเคมีที่เพิ่มขึ้นจะบันทึกเข้ามาในงบการเงินบริษัท 3,000-4,000 ล้านบาทในปีหน้า
นอกจากนี้ ในปีหน้าคาดว่าจะได้รับผลประโยชน์จากการขับเคลื่อนแนวทาง Holistic Optimization 1.2 พันล้านบาท และตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายอีก 1,000 ล้านบาท อีกทั้งการปรับปรุงโครงสร้าง Vencorex ทำให้ Bottom line ดีขึ้นประมาณ 2,400 ล้านบาท และปีหน้าหากปิดดีลจากการทำ Non-core Assets Monetization บริษัทจะได้รับผลประโยชน์อีกราว 2.3 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าในแง่ของส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์ยังต้องติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด เนื่องจากปัจจัยภาวะอุตสาหกรรมยังมีความท้าทายมาก แต่สถานการ์ณปัจจุบันน่าจะอยู่ในระดับที่ต่ำมากสุดของวัฎจักรแล้ว แต่การฟื้นตัวอาจยังต้องติดตามปัจจัยต่าง ๆ โดยเฉพาะการควบคุมซัพพลายในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะ จีน
นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PTTGC กล่าวว่า สำหรับปี 69 บริษัทจะยังคงดำเนินมาตรการเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายรวมกว่า 5,500 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะรับรู้ผลประโยชน์อย่างต่อเนื่อง (recurring) พร้อมทั้งสร้างผลประโยชน์เพิ่มเติมอีกกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี จากความคืบหน้าที่ทำได้ในปี 68
นอกจากนี้ PTTGC ยังเดินหน้าขับเคลื่อนตามแนวทาง Holistic Optimization เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานแบบองค์รวมและเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถสร้างผลประโยชน์เพิ่มเติมได้อีก 1,200 ล้านบาทต่อปี ในปี 69 และยังคงเดินหน้าดึงศักยภาพของ allnex ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกด้าน Coating Resins ผ่านการดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายท่ามกลางภาวะอุตสาหกรรมที่ชะลอตัว
การดำเนินงานสำคัญ ได้แก่
– การขยายกำลังการผลิตในตลาดศักยภาพสูง อาทิ ประเทศจีน อินเดีย และไทย เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันและรองรับการเติบโตในเอเชีย โดยเล็งเห็นว่าประเทศไทยสามารถพัฒนาเป็นศูนย์กลางสำคัญของเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
– Project Helix โครงการลดต้นทุนเชิงโครงสร้าง โดยตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายได้ 40 ล้านยูโรต่อปี ภายในปี 69-70 ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญต่อเป้าหมายเพิ่ม EBITDA ให้ได้อีกอย่างน้อย 25 ล้านยูโรต่อปีภายในปี 73
– Commercial Excellence และ Supply Chain Optimization ปรับกระบวนการเชิงพาณิชย์และห่วงโซ่อุปทานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
– Growth Platform หน่วยธุรกิจที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิมเพื่อขยายไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง พร้อมพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ อาทิ สารเติมแต่ง (additives) วัสดุคอมโพสิต และแบตเตอรี่ รวมถึงพัฒนานวัตกรรมเพื่อรองรับความต้องการใหม่ของตลาด
PTTGC ยังได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในองค์กร ผ่านแนวคิด 3 Smart: Smart Plant, Smart Sales & Marketing, Smart Work Process เช่น การใช้เทคโนโลยี AI Vision และ Drone Inspection ตรวจสอบสภาพ Roof Tank ร่วมกับข้อมูลดาวเทียม โดยไม่ต้องหยุดการดำเนินงาน การตรวจสอบสภาพ Heat Exchanger หลังการทำความสะอาด ช่วยลดเวลาและเพิ่มความแม่นยำในการประเมินสภาพอุปกรณ์ การใช้ Drone ตรวจสอบท่อภายใน (Internal Pipe) แทนการปีนขึ้นตรวจในพื้นที่เสี่ยง ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของพนักงาน ซึ่งเฉพาะที่ยกตัวอย่างสร้างประโยชน์ทางธุรกิจได้มากกว่า 20 ล้านบาทต่อปี
ขณะเดียวกัน บริษัทได้ให้ความสำคัญกับการนำนวัตกรรมมาเป็นพลังขับเคลื่อนองค์กร ทั้งด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า และการยกระดับกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้น ควบคู่กับการสร้าง Innovation Culture ที่เปิดโอกาสให้พนักงานทุกระดับมีส่วนร่วมเสนอแนวคิดใหม่ ๆ ผ่านแพลตฟอร์ม GC StandOut ซึ่งได้ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
“แม้สถานการณ์อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเศรษฐกิจโลกยังเผชิญความท้าทายหลายด้าน ทั้งกำลังการผลิตส่วนเกินจากตลาดที่มีต้นทุนต่ำ สงครามการค้า และปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้และส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร แต่ GC ยังคงดำเนินกลยุทธ์ตามแผนที่วางไว้ได้อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการปัจจัยที่ควบคุมได้ เพื่อพลิกสถานการณ์และสร้างความพร้อมสำหรับการเติบโตในระยะถัดไป ทั้งการดำเนินงานตามเป้าหมาย กลยุทธ์ Portfolio Transformation และการบริหารสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่าย การเพิ่มประสิทธิภาพแบบองค์รวมด้วยแนวทาง Holistic Optimization รวมทั้งเดินหน้าตามแผนลดภาระทางการเงิน (Deleveraging Program) และการบริหารสภาพคล่อง”
ความคืบหน้าสำคัญ ได้แก่
– เพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายรวมกว่า 5,500 ล้านบาทต่อปี ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 68 มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 4,000 บาทต่อปี คาดว่าจะสามารถทำได้เกินกว่าเป้าหมาย
– ขับเคลื่อนแนวทาง Holistic Optimization เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานแบบองค์รวม และเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน อาทิ โครงการนำเข้าอีเทนจากสหรัฐฯ มาใช้เป็นวัตถุดิบทดแทน และโครงการใช้พลังงานความเย็นจากก๊าซธรรมชาติเหลวในกระบวนการผลิตโอเลฟินส์
– การดำเนินการตามแผน Deleveraging และการบริหารสภาพคล่อง ด้วยการขยายวงเงิน Trade Credit Facility สำหรับการจัดหาวัตถุดิบกับ ปตท.เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและความยืดหยุ่นทางการเงิน และ ออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ สกุลเหรียญสหรัฐฯ มูลค่ารวม 1,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเดือน ก.ย.68 สูงสุดในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มียอดจองซื้อสูงกว่า 8 เท่าของมูลค่าเสนอขาย ส่งผลให้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 68 หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยลดลงประมาณ 75,000 ล้านบาท และ อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Debt/Equity) ลดลงจาก 0.84 เท่า เมื่อสิ้นปี 67 มาอยู่ที่ระดับประมาณ 0.50 เท่าในไตรมาส 3/68
ขณะที่ บริษัทฯ ยังมีวงเงินทุนหมุนเวียน (Committed facility) จากปตท. และ สถาบันการเงินรวมกว่า 70,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง
– เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ สกุลเงินบาท สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป ระหว่างวันที่ 27 พ.ย.-3 ธ.ค.68
– ดำเนินการ Asset Monetization เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ โดยมี 2 ธุรกรรมสำคัญ ซึ่งจะนำเสนอเพื่อพิจารณาอนุมัติในที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ได้แก่
– การขายหุ้นบางส่วนใน บริษัท ไทยแท้งค์เทอร์มินัล จำกัด (TTT) ให้บริการท่าเทียบเรือและคลังเก็บวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ให้แก่ บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (PTT Tank) คิดเป็นสัดส่วน 35.43% ภายหลังธุรกรรม GC จะยังคงถือหุ้นอยู่ 1%
– การขายทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานบางส่วนที่เกี่ยวกับท่าเทียบเรือและคลังเก็บผลิตภัณฑ์ใน Buffer Tank Farm ให้แก่บริษัทย่อยของ PTT Tank โดย GC จะเช่าทรัพย์สินกลับบางส่วน (Leaseback) และใช้บริการท่าเทียบเรือและพื้นที่ส่วนกลางต่อเนื่อง รวมทั้งยังคงเป็นผู้ดำเนินการและบำรุงรักษา (O&M) เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ
“GC ยังคงดำเนินกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมศักยภาพของธุรกิจให้พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจโลก แม้ปัจจุบันจะยังอยู่ในช่วงของการพลิกฟื้นธุรกิจ แต่บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าด้วยการดำเนินงานตามกลยุทธ์ที่วางไว้ การบริหารจัดการการเงินอย่างมีวินัย และการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม จะช่วยให้ GC ก้าวผ่านช่วงท้าทายนี้ และต่อยอดสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว” นายณะรงค์ศักดิ์ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 พ.ย. 68)





