EGCO แจงขาดทุน FX-ซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า Quezon กดดัน Q3/68 เดินหน้าลงทุนโซลาร์-Cogen เสริมฐานสหรัฐฯ

นายธวัชชัย สำราญวานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ผลิตไฟฟ้า [EGCO] เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 และงวด 9 เดือน ปี 2568 สะท้อนถึงการบริหารจัดการสินทรัพย์และการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งความสามารถในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถานะทางการเงิน ท่ามกลางสภาพตลาดไฟฟ้าและพลังงานทั้งในและต่างประเทศที่มีปัจจัยท้าทายหลายด้าน ในขณะเดียวกัน EGCO Group ยังมีความเคลื่อนไหวด้านการลงทุนที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การปิดดีลเข้าลงทุน 49% ในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Wheatsborough Solar กำลังผลิต 125 เมกะวัตต์ ในรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนแห่งที่ 2 ของกลุ่มโรงไฟฟ้า Pinnacle ll ที่บริษัทถือหุ้น และการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม Linden Cogen กำลังผลิต 980 เมกะวัตต์ เป็น 38% ซึ่งสะท้อนถึง การเสริมสร้างสถานะเชิงกลยุทธ์ของ EGCO Group ในตลาดพลังงานของสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง

ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/68 EGCO Group มีรายได้รวม 6,928 ล้านบาท ลดลง 39% จากไตรมาสก่อน (QoQ) และลดลง 44% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน 844 ล้านบาท ลดลง 55% QoQ และลดลง 77%YoY สาเหตุหลักจากเคซอน มีการซ่อมบำรุงตามแผนเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินเครื่อง เอเพ็กซ์มีการรับรู้รายได้จากการขายโครงการลดลง และซีดีไอ มีรายได้อื่นลดลง

ในขณะที่มีขาดทุนสุทธิ 656 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 127% YoY และลดลง 130% QoQ จากไตรมาส 2/68 ซึ่งมีกำไร 2,157 ล้านบาท จากปัยยจ้างข้างต้นรวมทั้งการรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง เป็นผลมาจากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ไต้หวันต่อเงินยูโร

ทั้งนี้ บริษัทยังมีปัจจัยสนับสนุนกำไรจากการดำเนินงานมาจากผลประกอบการที่โดดเด่นของโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว เป็นหลัก ได้แก่ น้ำเทิน 2 และไซยะบุรี ซึ่งได้รับปัจจัยบวกจากฤดูกาลที่มีปริมาณน้ำมาก รวมทั้งโรงไฟฟ้าในต่างประเทศ ได้แก่ Linden Cogen และ Compass ในสหรัฐอเมริกา Paju ES ในเกาหลีใต้ และ San Buenaventura ในฟิลิปปินส์ รวมถึงธุรกิจสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน CDI Group ในอินโดนีเซีย

สำหรับปัจจัยที่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/68 ได้แก่ การซ่อมบำรุงตามแผนของโรงไฟฟ้า Quezon ในฟิลิปปินส์ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) ภายใต้สัญญา PSA ฉบับใหม่ ซึ่งเริ่ม COD เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา รวมทั้งผลกระทบจากการวัดมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือทางการเงินและการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นรายการทางบัญชี โดยเป็นปัจจัยเฉพาะช่วงและไม่กระทบต่อศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนระยะยาว

ด้านผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปี 2568 EGCO Group มีรายได้รวม 29,126 ล้านบาท ลดลง 17% YoY โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน 4,348 ล้านบาท ลดลง 38% YoY และมีกำไรสุทธิ 5,078 ล้านบาท ลดลง 8% YoY ซึ่งปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากผลประกอบการของโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว โรงไฟฟ้า San Buenaventura ในฟิลิปปินส์ โรงไฟฟ้า Paju ES ในเกาหลีใต้ และกลุ่มโรงไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งการรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนในโรงไฟฟ้า RISEC ในสหรัฐอเมริกา และโรงไฟฟ้า Boco Rock Wind Farm ในออสเตรเลีย ที่สอดคล้องกับนโยบายการบริหารสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ (Asset Recycling) คือ การขายสินทรัพย์ในเวลาที่เหมาะสม และนำเงินที่ได้จากการขายไปลงทุนใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและการเติบโตในระยะยาว

นายธวัชชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผลการดำเนินงานรวมปี 2568 EGCO Group ยังมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโตทั้งจากการรับรู้รายได้เพิ่มจากโครงการในต่างประเทศที่บริษัทเข้าไปลงทุนก่อนหน้านี้ ได้แก่ การลงทุนในกลุ่มโรงไฟฟ้า Pinnacle ll กำลังผลิตรวม 251 เมกะวัตต์ และการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในโรงไฟฟ้า Linden Cogen เป็น 38% รวมทั้งคาดว่าโรงไฟฟ้าที่บริษัทถือหุ้นในสหรัฐอเมริกา จะได้รับประโยชน์จากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เติบโตขึ้นจากดีมานด์ของธุรกิจ Data Center และ AI ขณะที่ราคาซื้อขายไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกาอยู่ในเกณฑ์ที่ดี

ด้านการลงทุนใหม่ EGCO Group ยังเดินหน้าลงทุนเชิงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก จากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติคุณภาพสูงและโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพื่อเป้าหมาย Net Zero ผ่านการลงทุนทั้งรูปแบบการควบรวมและซื้อกิจการ (Mergers and Acquisitions – M&A) และการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ (Greenfield) โดยต่อยอดและเน้นการลงทุนในประเทศที่มีฐานธุรกิจและพันธมิตรอยู่แล้ว โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานธุรกิจที่สำคัญของ EGCO Group ที่ได้เข้าไปลงทุนมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

สำหรับโอกาสการลงทุนในประเทศ บริษัทยังอยู่ระหว่างรอความชัดเจนจากการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศ หรือ RE Big lot รอบที่ 2 ซึ่งบริษัทได้รับการคัดเลือกจำนวน 11 โครงการ กำลังผลิตติดตั้งรวม 448 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ บริษัทยังมีความสนใจและอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในนโยบาย Direct PPA ที่เปิดทางให้ภาคเอกชนทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสะอาดกับผู้ผลิตได้โดยตรง ซึ่งเป็นแรงดึงดูดสำคัญในการลงทุนของธุรกิจ Data Center และ AI ที่ต้องการพลังงานสะอาดและมีเสถียรภาพ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 พ.ย. 68)