CPN,OR,BEM,BCP,คิงเพาเวอร์,TCC,สยามพารากอน,EA,MBK เปิดหน้าสนใจจุดพักมอเตอร์เวย์ M7-M9 ประมูลปี 69

กรมทางหลวง (ทล.) จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นภาคเอกชน (Market Sounding) สำหรับโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในการพัฒนาและบริหารจัดการที่พักริมทาง บนทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ( มอเตอร์เวย์)หมายเลข 7 และหมายเลข 9 เพื่อเผยแพร่ข้อมูลของโครงการและเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนได้แสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในการพัฒนาและบริหารที่พักริมทางบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง เพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการของระบบทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสู่มาตรฐานสากล

ทั้งนี้ การรับฟังความเห็นได้รับความสนใจภาคเอกชนหลากหลายธุรกิจ ทั้งจากกลุ่มผู้พัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ กลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มผู้ประกอบการด้านพลังงาน กลุ่มผู้ประกอบการด้านการก่อสร้างและบริหารมอเตอร์เวย์และทางด่วนกว่า 27 บริษัท สถาบันการเงิน หน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจกว่า 18 หน่วยงาน รวมมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 150 คน อาทิ บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา [CPN] , บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก [OR] ,บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ [BEM] ,บจ.คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป ,กลุ่มไทยเจริญคอร์ปอเรชั่น (TCC Group) , บจ.สหลอว์สัน ,บจ.พลังงานบริสุทธิ์ มหานคร ,บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น [BCP] , บมจ.เอ็ม บี เค [MBK],บจ.สยามพารากอน ดีเวลลอปเม้นท์ ,บจ.สยามพิวรรธน์ ,บมจ.สยามพิวเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ เป็นต้น

นายปิยพงษ์ จิวัฒนกุลไพศาล อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า การพัฒนา “ที่พักริมทาง” ถือเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญ เนื่องจากที่พักริมทางเป็นองค์ประกอบหลักของระบบมอเตอร์เวย์ ที่มีบทบาทเป็นจุดแวะพัก ที่ให้บริการแก่ผู้ใช้เส้นทาง ทั้งเพื่อผ่อนคลายอิริยาบถ ทำธุระส่วนตัว รวมถึงการใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ โดยมีวัตถุประสงค์ช่วยป้องกันและลดอุบัติเหตุจากความเมื่อยล้าหรือหลับใน สนับสนุนเป้าหมายเรื่องการลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุและลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน ตลอดจนลดการเข้า–ออกจากระบบทางหลวงพิเศษโดยไม่จำเป็น ช่วยให้ผู้ใช้ทางประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

ขณะที่การพัฒนาและบริหารจัดการที่พักริมทางต้องอาศัยเงินลงทุนและการบริหารงานในระยะยาว ขณะที่ภาครัฐมีข้อจำกัดด้านงบประมาณและความคล่องตัว กรมทางหลวงจึงมีนโยบายเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (Public–Private Partnership: PPP) เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ โดยอาศัยศักยภาพและนวัตกรรมของภาคเอกชนในการยกระดับคุณภาพบริการตามมาตรฐานสากล

สำหรับมอเตอร์เวย์สาย 7 และ สาย 9 จะมีการพัฒนาและบริหารจัดการที่พักริมทางขนาดเล็ก (Rest Stop) รวม 5 ตำแหน่ง (2 ฝั่งของสายทาง รวม 10 แห่ง) ได้แก่

1.ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 สาย กรุงเทพฯ–ชลบุรี–มาบตาพุด

  • จุดพักรถลาดกระบัง (กม. 21) พื้นที่ประมาณ 10 ไร่
  • จุดพักรถหนองรี (กม. 72) พื้นที่ประมาณ 18 ไร่
  • จุดพักรถมาบประชัน (กม. 118) พื้นที่ประมาณ 16 ไร่

2.ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 สาย ถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ด้านตะวันออก

  • จุดพักรถคลองหลวง (กม. 20) พื้นที่ประมาณ 5 ไร่
  • จุดพักรถทับช้าง (กม. 49) พื้นที่ประมาณ 8 ไร่

โดยปัจจุบัน แต่ละแห่ง ทล.ได้ลงทุนและได้เปิดให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน เช่น ห้องน้ำสะอาด ที่จอดรถ และพื้นที่พักผ่อนแล้ว โดยส่วนที่จะปิดให้เอกชนจะเข้ามาดำเนินการพัฒนาพื้นที่พาณิชย์เพิ่มเติม ได้แก่ ร้านค้า ร้านอาหาร และร้านจำหน่ายเครื่องดื่ม เพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้ทางได้อย่างครบวงจร

ตามการศึกษาเบื้องต้น กำหนด กรอบระยะเวลาการร่วมลงทุนแบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่

  • ช่วงที่ 1 ช่วงการพัฒนาโครงการภาคเอกชนเป็นผู้จัดหาเงินทุน ออกแบบ พัฒนาพื้นที่พาณิชย์ และสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่างๆ ภายใต้ข้อกำหนดของกรมทางหลวง ระยะเวลาก่อสร้าง 1 ปี
  • ช่วงที่ 2 ช่วงดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) ภาคเอกชนเป็นผู้บริหารจัดการ บำรุงรักษา และบูรณะโครงการ ให้เป็นไปตามมาตรฐานและข้อกำหนด ภายใต้การกำกับดูแลของกรมทางหลวง โดยมีสิทธิรับรายได้จากโครงการ และจ่ายค่าตอบแทนให้ภาครัฐตามเงื่อนไขในสัญญาร่วมลงทุน ระยะเวลาดำเนินการ 11 ปี

อธิบดีกรมทางหลวงกล่าวว่า ปัจจุบัน โครงการอยู่ระหว่างการจัดทำรายงานศึกษาและวิเคราะห์โครงการ และรับฟังความเห็นจากเอกชน เพื่อเสนอขออนุมัติตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 คาดว่าจะสรุปได้ในต้นปี 2569 เสนอขออนุมัติโครงการ และเริ่มกระบวนการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน และลงนามสัญญาร่วมลงทุนภายในปี พ.ศ. 2569 เปิดให้บริการได้ในปี 2570

“กรอบการพัฒนาเบื้องต้น เห็นว่า ควรแบ่งเป็นสัญญา เพื่อให้เกิดการแข่งขัน จะเหมาะสมกว่ารวมทั้ง 5 ตำแหน่ง (10 แห่ง) เป็นสัญญาเดียว ส่วนจะแบ่งกี่สัญญารอสรุปหลังรับฟังความเห็น และข้อเสนอแนะ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาในการปรับปรุงการศึกษาและวิเคราะห์ รวมถึงกำหนดรูปแบบการร่วมลงทุนโครงการให้มีความเหมาะสม และสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม”

ข้อมูลที่ปรึกษา ประมาณการต้นทุนโครงการรวมทั้ง 5 ตำแหน่ง (10 แห่ง) 425 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าก่อสร้าง 80 ล้านบาท ค่าดำเนินการ ด้านบุคลากร สาธารณูปโภค 305 ล้านบาท ค่าบำรุงรักษาและบูรณะตลอดอายุสัญญา 40 ล้านบาท

ขณะที่รูปแบบสัญญาที่เหมาะสมจะแบ่งเป็น 2 สัญญาตามพื้นที่ คือ สัญญาที่ 1 จุดพักลาดกระบัง คลองหลวง และรถทับช้าง ค่าลงทุน (ค่าก่อสร้าง 40 ล้านบาท ค่าดำเนินการ 165 ล้านบาท ค่าบำรุงรักษาและบูรณะตลอดอายุสัญญา 20 ล้านบาท) ผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) 8.72 % ระยะเวลาคืนทุน 7.01 ปี อัตราส่วนผลประโยชน์ตอบแทนต่อเงินลงทุน (B/C Ratio 1.07 เท่า)

สัญญาที่ 2 จุดพักรถหนองรี และมาบประชัน ( ค่าก่อสร้าง 40 ล้านบาท ค่าดำเนินการ 130 ล้านบาท ค่าบำรุงรักษาและบูรณะตลอดอายุสัญญา 20 ล้านบาท) ผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) 10.48 % ระยะเวลาคืนทุน 6.56 ปี อัตราส่วนผลประโยชน์ตอบแทนต่อเงินลงทุน (B/C Ratio 1.17 เท่า)

โดยเงื่อนไขการจ่ายค่าตอบแทน ใช้รูปแบบ ค่าตอบแทนขั้นต่ำคงที่รายปี (Fixed Fee) ตามที่กำหนด และค่าตอบแทนเพิ่มเติม(Additional Fee) แปรผันตามพื้นที่พาณิชย์ ซึ่งเหมาะสมกับจุดพักรถขนาดเล็ก เพราะอาจจะมีปริมาณรถมาใช้ไม่มาก

นายปิยพงษ์กล่าวว่า สำหรับโครงการสถานที่บริการทางหลวงบางละมุง ที่ทล.เคยเปิดประมูล แต่ไม่มีเอกชนยื่นข้อเสนอ เพราะกังวลเรื่องความคุ้มค่านั้น ขณะนี้มีการปรับรูปแบบการดำเนินการให้เหมาะสม โดยจะลงทุนโยธาโครงสร้างพื้นฐานเอง เช่น การปรับปรุงพื้นที่ ทางเข้าออก และห้องน้ำ ซึ่งจะตั้งงบประมาณปี 2570 ดำเนินการ เมื่อเปิดให้บริการแล้วจะมีการประเมินสักระยะก่อน เพราะจะมีการพัฒนาพื้นที่ EEC และสนามบินอู่ตะเภาเข้ามาเป็นปัจจัยในการพิจารณาการเติบโตของปริมาณราจรในเส้นทางนี้ด้วย จากนั้นจะศึกษาและเปิดให้เอกชนเข้ามาลงทุนในส่วนของพื้นที่เชิงพาณิชย์ ซึ่งงาน PPP จะมีมูลค่าลดลงและจูงใจเอกชนมากกว่า

 

*เตรียมเปิดเอกชนลงทุนสถานีชาร์จไฟฟ้า (EV Chargin Station) จุดพักรถบรรทุก 175 แห่งทั่วปท.

นายปิยพงษ์ กล่าวว่า นอกจากการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกภายในบริเวณจุดพักรถของทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหรือมอเตอร์เวย์แล้ว กรมทางหลวงยังเตรียมที่จะเปิดให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนติดตั้งสถานีชาร์ทไฟฟ้า (EV Charging Station) บริเวณจุดพักรถบรรทุกที่เปิดใช้งานแล้วประมาณ 173 แห่ง บนโครงข่ายทางหลวงแผ่นดินทั่วประเทศ ในรูปแบบ PPP เพื่อส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ของประเทศตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งจะจัดให้มีการประเมินความสนใจของภาคเอกชน (Market Sounding) เร็วๆนี้

สรุปข้อมูลภาพรวมของ จุดพักรถ (Rest Stop) ในโครงข่ายทางหลวงทั่วประเทศ เพื่อรองรับการให้บริการแก่ผู้ใช้เส้นทาง โดยปัจจุบันมีจำนวนจุดพักรถรวมทั้งสิ้น 173 แห่ง ซึ่งในจำนวนนี้ 167 แห่ง ได้เปิดให้ประชาชนสามารถใช้บริการได้แล้ว ส่วนที่เหลืออีก 6 แห่ง อยู่ระหว่างกระบวนการดำเนินการก่อสร้าง เพื่อเพิ่มความสะดวกและยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนอย่างต่อเนื่อง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 พ.ย. 68)